ปอบยายนวล
เรื่องนี้ส่งมาจากคุณเรญ่า (นามสมมติ) ครับ คุณเรญ่าเล่าว่า.. ย้อนไปเมื่อ 30 กว่าปีก่อน สภาพบ้านในชนบทที่ห่างไกลตัวเมืองทางภาคอีสาน ถนนเข้าหมู่บ้านจะเป็นทางลูกรัง ส่วนในหมู่บ้านไม่ต้องพูดถึง เป็นแค่ทางเท้าที่เดินย่ำบนหญ้าจนเกิดรอยเป็นทางยาว หมู่บ้านเราเป็นหมู่บ้านเล็กๆ น่าจะ 30 หลังคาเรือนได้ ลักษณะตัวบ้านแต่ละหลังจะเป็นบ้านไทยใต้ถุนโล่ง แต่ละหลังก็จะมีพื้นที่เขตบ้านของตัวเองเยอะพอสมควร ปลูกห่างกันอย่างน้อยน่าจะ 50 เมตรขึ้นไป ส่วนบ้านที่เราอยู่เป็นบ้านมรดกตกทอดมาจากตากับยาย หลังใหญ่พอสมควร ตั้งอยู่ในสุดท้ายหมู่บ้าน มีเนื้อที่ 3 ไร่ หลังบ้านเรามีสวน ถัดจากสวนของเราไปก็จะเป็นทุ่งนาทั้งหมด
วันเกิดเรื่อง ตอนนั้นเรายังเด็ก อายุราว 6-7 ขวบ เราเป็นลูกคนเล็กในบรรดาพี่ๆ ทั้งหมด 6 คน (เราคนที่ 7) เป็นลูกหลง ไม่สบายบ่อยๆ ประมาณช่วงบ่ายแก่ๆ วันหนึ่ง เรานั่งเล่นกับแม่อยู่ที่แคร่ใต้ถุนบ้าน ไม่ได้ไปโรงเรียนเพราะไม่สบาย อยู่ๆ ยายนวล กับหลานชายก็เดินเข้ามาในบ้าน มาถามแม่เรา ‘อีหนูนี่ไม่ไปเรียนหรือ?' พร้อมกับมานั่งลงข้างๆ ห่างจากแม่แค่ช่วงแขน ตาก็จ้องมาที่เรา แม่กับเราต่างก็ตกใจ เพราะไม่รู้ว่าแกมาตอนไหน แต่แม่จำได้ว่าแกเป็นคนจากอีกหมู่บ้านหนึ่ง เลยไม่ได้คิดอะไร แม่ตอบแกไปว่าเราไม่สบาย และถามแกกลับไปว่าแกจะไปไหน? แกก็ว่าจะมาหาหยวกกล้วยไปต้มให้หมูกิน แต่แถวนี้ไม่มีใครมีเลย เลยว่าจะเดินลัดทุ่งข้างหลังนี่กลับบ้านแน่ะ.. ในขณะที่แม่กับยายนวลคุยกัน ก็เหมือนคนคุยกันตามปกติ แต่ที่ไม่ปกติคือสายตาของยายแกจ้องเขม็งมาที่เราตลอด เราหันไปสบตาแกแวบหนึ่ง เห็นแววตาแกแดงก่ำ หน้านิ่งๆ น่ากลัวมากๆ เราจึงขยับไปนั่งตักแม่ และเอาหน้าซุกที่อกแม่ แม่เลยถามเราว่าเป็นอะไร? แต่เราไม่ได้ตอบ.. สักพักยายนวลกับหลานแกจึงลากลับ พร้อมกับทิ้งท้ายไว้ว่า ‘ไว้จะมาหาใหม่..'
พอตกกลางคืน ทุกคนเข้านอนตามปกติ คืนนั้นเป็นคืนเดือนหงาย จึงทำให้มองเห็นอะไรๆ ได้ค่อนข้างชัด เรานอนกับพ่อแม่ ขอบอกลักษณะบ้านเรานิดนึง พอขึ้นไปบนบ้านก็จะเป็นชานบ้าน ทำไว้นั่งรับลม และรับแขก ส่วนโซนที่เป็นห้องนอน จะทำบันไดขึ้นไปอีก 5 ขั้น ถ้าผู้ใหญ่ยืนเทียบก็น่าจะประมาณหน้าอก ซึ่งก็สูงพอสมควร ห้องนอนที่เรานอนกับพ่อแม่จะเป็นห้องแรกติดกับบันได 5 ขั้นที่ว่านั้น แต่จะไม่มีประตูห้อง และอยู่ติดกับชานบ้านเลย.. คืนนั้นเราตื่นมากลางดึก เพราะได้ยินเสียงเหมือนหมาวิ่งมาแต่ไกล เสียงหอบ แฮ่กๆๆ เหมือนเหนื่อยมาก แล้ววิ่งมาหยุดที่ใต้ถุนบ้านเรา ยืนหอบอยู่อย่างนั้น เราก็นอนนิ่งฟัง แต่แล้วเหตุการณ์ที่เราไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เสียงหมาที่ว่ามันค่อยๆ ไล่มาทางบันไดขึ้นบ้าน ตึงๆๆ และใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จากเสียงที่ดังน่าจะเป็นหมาตัวใหญ่มากๆ แล้วจากเสียงก็กลายเป็นเงาตะคุ่มๆ อยู่ที่ชานบ้าน มาจนเห็นเป็นหลังของหมาค่ะ ใช่เลย คือช่วงบนหลังของหมาสีดำ! เรามองจากห้องนอนที่ยกสูงยังเห็นหลังของมันแบบนี้ ลองคิดดูว่ามันจะตัวใหญ่ขนาดไหน..
มันค่อยๆ เดินมาจนถึงบันได 5 ขั้นที่จะขึ้นห้องนอน แล้วมันก็เดินขึ้นมาจริงๆ พร้อมกับกวาดสายตาแดงก่ำของมันไปรอบๆ บ้าน น้ำลายหยดเป็นทางราวกับหิวโซ เราได้แต่นอนนิ่งมองตาค้างอยู่อย่างนั้น แล้วจู่ๆ มันก็มองมาที่เราเหมือนรู้ว่าเราก็มองมันอยู่! มันไม่รอช้า เดินตรงมางับเข้าที่ข้อเท้าเราแล้วออกแรงดึง ครั้งแรกเรามีความรู้สึกได้ว่าตัวเองไหลปรื้ดไปตามแรง มันกระชากอีกทีเราก็ไหลลงไปอยู่ระหว่างช่วงต้นขาของพ่อแม่แล้ว เราตกใจมากพยายามร้องยังไงก็ร้องไม่ออก มันปล่อยแล้วก็ยืนมองสักพัก แล้วมันก็งับอีก เดชะบุญยังไม่ถึงคราวตาย เราเปล่งเสียงร้อง ‘กรี๊ดดดดด' ออกมาลั่นบ้าน จนพ่อแม่ และพวกพี่ๆ ที่นอนอยู่อีก 2-3 ห้องตื่นกันหมดทั้งบ้าน พ่อแม่รีบลุกขึ้นนั่งด้วยความตกใจ ถามว่าเราเป็นอะไร ร้องทำไม? เราก็ได้แต่ร้องไห้กอดพ่อแน่น แล้วชี้ไปทางหมาดำตัวใหญ่ตัวนั้น ปากก็พูดว่า ‘หมาๆๆ หมาดำตัวใหญ่!' พ่อกับแม่มองไม่เห็นมัน แต่ก็ทำเป็นไล่ส่งๆ เพื่อปลอบขวัญเราว่า ‘หมาที่ไหนออกไปๆ ถ้ามึงไม่ไป กูจะเอาดาบฟันให้ขาดสองท่อนเลยไป!' ซึ่งไอ้หมาดำตัวนั้นมันก็ไม่ได้วิ่งหนีแต่อย่างใด ยังคงยืนจ้องมองเราด้วยสายตาแดงก่ำ และน้ำลายหยดย้อย สักพักมันถึงวิ่งลงจากบ้านหายไป..
วันรุ่งขึ้นช่วงสายๆ ก็มีป้าบ้านตรงข้ามเดินเข้ามาหา ถามว่าเมื่อคืนไอ้ตัวเล็ก (เรา) ไข้ขึ้นเหรอ? ทำไมร้องเสียงดังมาถึงบ้านนี้เลย แม่ก็เลยเล่าให้ป้าแกฟังว่าเราไม่สบาย แล้วละเมอว่าเห็นหมาดำมาขึ้นบ้าน ป้าแกก็ตอบอย่างทันควันว่า ‘ว่าแล้วเชียว! เมื่อวานเห็นยายนวลมาที่บ้านแกนี่ แกไม่รู้เหรอ เขาลือกันทั้งบางว่ายายนวลมันเป็นปอบ! มันชอบเด็ก ยิ่งป่วยยิ่งเข้าหาเลยล่ะ!' พวกเราได้ยินแบบนั้นก็อึ้งเลยค่ะ.. เหตุการณ์นี้ถึงจะผ่านมานานมากแล้ว แต่จนทุกวันนี้เรายังจำได้ไม่มีวันลืมเลยค่ะ
เครดิต :
ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!" ประกาศ "
ร่วมแสดงความคิดเห็น