“ทางหลังวัด” ที่ชวนขนหัวลุก
เหตุการณ์เกิดขึ้นที่วัดแห่งหนึ่ง ในอำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี เมื่อประมาณสี่สิบปีที่ผ่านมา ตอนนั้นคุณสุนทรยังอายุประมาณสิบเอ็ดขวบ วันนั้นเป็นวันหยุด
คุณพ่อบอกว่า"เดี๋ยวเย็น ๆ จะไปบ้านลุงบ้านป้าหน่อย"
บ้านของคุณลุงคุณป้า จะอยู่ที่ตําบลหนองขาม ห่างจากบ้านของคุณพ่อประมาณสิบกิโลเมตร หลังจากคุณพ่อเลิกงานประมาณสี่โมงครึ่ง ก็ได้ปั่นจักรยานไปกันสองคนกับคุณสุนทร ถนนจะเป็นลูกรัง และไม่มีไฟ สองข้างทางจะเป็นป่ารก ๆจนปั่นมาได้ประมาณครึ่งทาง เวลาประมาณห้าโมงครึ่ง พระอาทิตย์เริ่มคล้อยต่ำ มีสุนัขสีดำตัวใหญ่วิ่งตัดหน้า แล้วหายเข้าไปในป่าข้างทาง คุณพ่อรีบหยุดจักรยานแล้วบ่นออกมาว่า"มันมายังไงของมันวะ"
จากนั้นก็ปั่นต่อไปได้อีกสักพัก ปรากฏว่ายางแตก ช่วงเวลานั้นใกล้จะมืดเต็มที สองข้างทางมีแต่ป่า คุณพ่อจึงรีบเอาไขขวงงัดเอายางในออกมา แล้วเอาผ้าขาวม้ายัดเข้าไปแทน กว่าจะเสร็จก็กินเวลาไปจนถึงหกโมง เป็นเวลาโพล้เพล้ เริ่มจะมองถนนไม่เห็นคุณพ่อจึงรีบปั่นไปเรื่อย ๆ จนใกล้จะถึง ด้านขวาจะเป็นป่าต้นสัก ส่วนด้านซ้ายจะมีรั้วลวดหนาวขึงไว้ตลอดแนว ด้านในรั้วจะมีแต่เจดีย์เล็ก ๆ ที่เป็นโกศเอาไว้เก็บกระดูกคนตาย คาดว่าถนนเส้นนี้จะเป็นถนนหลังวัดแห่งหนึ่ง
จนเวลาประมาณหนึ่งทุ่ม ความมืดเริ่มปกคลุมไปทั่วบริเวณจนมองทางไม่เห็น คุณสุนทรจึงหยิบไฟฉายออกมาช่วยส่องไฟไปตามทางข้างหน้า ทำให้สองฝั่งข้างทางดูเป็นภาพมัว ๆ มีเงาสะท้อนวิ่งไปมาจนดูน่าขนลุก ไม่ได้ยินทั้งเสียงของนกและแมลงที่ควรจะต้องได้ยิน ต้นไม้ทุกต้นหยุดนิ่ง ไม่ไหวติง
คุณสุนทรก็เริ่มมองซ้ายหันขวาด้วยความฉงน คิดในใจว่าทำไมมันถึงได้นิ่งเงียบขนาดนี้ มันจะไม่มีลมพัดต้นไม้ให้ส่งเสียงกลบความเงียบเลยเชียวหรือ แล้วป่าทั้งป่าจะไม่มีนกหรือแมลงอาศัยอยู่เลยแม้สักตัวเชียวหรือ
สักพักคุณสุนทรได้ยินเสียงของอะไรบางอย่าง ดังอยู่ข้างหลัง แต่เบามากจนฟังไม่ออกว่ามันคือเสียงของอะไร จนต้องพยายามเงี่ยหูฟัง แล้วเสียงก็ค่อย ๆ ใกล้เข้ามา ตุ๊บ... ตุ๊บ... ตุ๊บ... ลักษณะเหมือนอะไรบางอย่าง กลิ้งตามหลังมา จึงได้หันเอาไฟฉายส่องไปดูข้างหลัง คุณสุนทรตกใจจนแทบจะตกจากจักรยาน ภาพที่เห็นเป็นหัวคนสีดำ ๆ กลิ้งตามหลังมาติด ๆ ห่างกันแค่ประมาณสามเมตร
คุณสุนทรคิดถึงคำพูดของคุณพ่อ ที่เคยบอกตอนออกไปหากบหาปลากันตอนกลางคืนอยู่บ่อย ๆ ว่าเจออะไร ห้ามพูดห้ามทัก ให้เฉยไว้ เป็นลูกผู้ชายไม่ต้องกลัว เค้าทำอะไรเราไม่ได้ คุณสุนทรจึงได้แต่จิกมือลงบนเอวของคุณพ่อ แล้วเอาหน้าซบลงที่แผ่นหลัง และเหมือนคุณพ่อจะรู้ว่ามีอะไรบางอย่างกำลังตามมา จึงพยายามปั่นให้เร็วขึ้นอีก แต่สิ่งนั้นก็ยังคงกลิ้งตามหลังมาอย่างไม่ลดละ
เวลานั้นได้ยินแต่เสียงจักรยานกับเสียงหัวคนกลิ้งตามหลังมา ตุ๊บ... ตุ๊บ... ตุ๊บ... ใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ คุณสุนทรนั่งเกร็งจนสั่นไปทั้งตัว รีบยกเอาขาขึ้นมานั่งขัดสมาธิ กอดเอวของคุณพ่อไว้แน่น
คุณพ่อปั่นจนมาถึงทางเข้าหมู่บ้าน ถนนแถวนี้ยังพอมีแสงสว่างจากตะเกียงเจ้าพายุ ที่ห้อยอยู่ตามหน้าบ้านเรือน เสียงกลิ้งตามหลังก็เงียบหายไป เหมือนว่ามันจะหยุดอยู่แค่ตรงทางแยกเข้าหมู่บ้าน คุณสุนทรจึงรู้สึกใจชื้นขึ้นมาบ้าง คุณพ่อก็พูดออกมาเสียงดังว่า "โว้ย! เหนื่อยจริง ๆ" จึงได้เข้าไปขอน้ำดื่มกินที่บ้านของคนรู้จัก เพื่อนของคุณพ่อก็ถามว่า "จะไปไหนกันเนี่ย" คุณพ่อก็ตอบว่า "มาเยี่ยมลุงกับป้า"
แล้วคุณพ่อก็หันมาถามคุณสุนทรว่า "เมื่อตะกี้เห็นอะไร?!!" แต่ตอนนั้นคุณสุนทรยังไม่หายจากอาการช็อค จึงไม่กล้าพูดอะไร
คุณพ่อจึงบอกว่า "ข้าได้ยินตั้งแต่ตอนที่ปั่นจักรยานผ่านหลังวัดแล้วล่ะ แต่ไม่อยากหันไปดู"
และนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมด
เครดิตแหล่งข้อมูล : klangsayong
คุณพ่อบอกว่า"เดี๋ยวเย็น ๆ จะไปบ้านลุงบ้านป้าหน่อย"
บ้านของคุณลุงคุณป้า จะอยู่ที่ตําบลหนองขาม ห่างจากบ้านของคุณพ่อประมาณสิบกิโลเมตร หลังจากคุณพ่อเลิกงานประมาณสี่โมงครึ่ง ก็ได้ปั่นจักรยานไปกันสองคนกับคุณสุนทร ถนนจะเป็นลูกรัง และไม่มีไฟ สองข้างทางจะเป็นป่ารก ๆจนปั่นมาได้ประมาณครึ่งทาง เวลาประมาณห้าโมงครึ่ง พระอาทิตย์เริ่มคล้อยต่ำ มีสุนัขสีดำตัวใหญ่วิ่งตัดหน้า แล้วหายเข้าไปในป่าข้างทาง คุณพ่อรีบหยุดจักรยานแล้วบ่นออกมาว่า"มันมายังไงของมันวะ"
จากนั้นก็ปั่นต่อไปได้อีกสักพัก ปรากฏว่ายางแตก ช่วงเวลานั้นใกล้จะมืดเต็มที สองข้างทางมีแต่ป่า คุณพ่อจึงรีบเอาไขขวงงัดเอายางในออกมา แล้วเอาผ้าขาวม้ายัดเข้าไปแทน กว่าจะเสร็จก็กินเวลาไปจนถึงหกโมง เป็นเวลาโพล้เพล้ เริ่มจะมองถนนไม่เห็นคุณพ่อจึงรีบปั่นไปเรื่อย ๆ จนใกล้จะถึง ด้านขวาจะเป็นป่าต้นสัก ส่วนด้านซ้ายจะมีรั้วลวดหนาวขึงไว้ตลอดแนว ด้านในรั้วจะมีแต่เจดีย์เล็ก ๆ ที่เป็นโกศเอาไว้เก็บกระดูกคนตาย คาดว่าถนนเส้นนี้จะเป็นถนนหลังวัดแห่งหนึ่ง
จนเวลาประมาณหนึ่งทุ่ม ความมืดเริ่มปกคลุมไปทั่วบริเวณจนมองทางไม่เห็น คุณสุนทรจึงหยิบไฟฉายออกมาช่วยส่องไฟไปตามทางข้างหน้า ทำให้สองฝั่งข้างทางดูเป็นภาพมัว ๆ มีเงาสะท้อนวิ่งไปมาจนดูน่าขนลุก ไม่ได้ยินทั้งเสียงของนกและแมลงที่ควรจะต้องได้ยิน ต้นไม้ทุกต้นหยุดนิ่ง ไม่ไหวติง
คุณสุนทรก็เริ่มมองซ้ายหันขวาด้วยความฉงน คิดในใจว่าทำไมมันถึงได้นิ่งเงียบขนาดนี้ มันจะไม่มีลมพัดต้นไม้ให้ส่งเสียงกลบความเงียบเลยเชียวหรือ แล้วป่าทั้งป่าจะไม่มีนกหรือแมลงอาศัยอยู่เลยแม้สักตัวเชียวหรือ
สักพักคุณสุนทรได้ยินเสียงของอะไรบางอย่าง ดังอยู่ข้างหลัง แต่เบามากจนฟังไม่ออกว่ามันคือเสียงของอะไร จนต้องพยายามเงี่ยหูฟัง แล้วเสียงก็ค่อย ๆ ใกล้เข้ามา ตุ๊บ... ตุ๊บ... ตุ๊บ... ลักษณะเหมือนอะไรบางอย่าง กลิ้งตามหลังมา จึงได้หันเอาไฟฉายส่องไปดูข้างหลัง คุณสุนทรตกใจจนแทบจะตกจากจักรยาน ภาพที่เห็นเป็นหัวคนสีดำ ๆ กลิ้งตามหลังมาติด ๆ ห่างกันแค่ประมาณสามเมตร
คุณสุนทรคิดถึงคำพูดของคุณพ่อ ที่เคยบอกตอนออกไปหากบหาปลากันตอนกลางคืนอยู่บ่อย ๆ ว่าเจออะไร ห้ามพูดห้ามทัก ให้เฉยไว้ เป็นลูกผู้ชายไม่ต้องกลัว เค้าทำอะไรเราไม่ได้ คุณสุนทรจึงได้แต่จิกมือลงบนเอวของคุณพ่อ แล้วเอาหน้าซบลงที่แผ่นหลัง และเหมือนคุณพ่อจะรู้ว่ามีอะไรบางอย่างกำลังตามมา จึงพยายามปั่นให้เร็วขึ้นอีก แต่สิ่งนั้นก็ยังคงกลิ้งตามหลังมาอย่างไม่ลดละ
เวลานั้นได้ยินแต่เสียงจักรยานกับเสียงหัวคนกลิ้งตามหลังมา ตุ๊บ... ตุ๊บ... ตุ๊บ... ใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ คุณสุนทรนั่งเกร็งจนสั่นไปทั้งตัว รีบยกเอาขาขึ้นมานั่งขัดสมาธิ กอดเอวของคุณพ่อไว้แน่น
คุณพ่อปั่นจนมาถึงทางเข้าหมู่บ้าน ถนนแถวนี้ยังพอมีแสงสว่างจากตะเกียงเจ้าพายุ ที่ห้อยอยู่ตามหน้าบ้านเรือน เสียงกลิ้งตามหลังก็เงียบหายไป เหมือนว่ามันจะหยุดอยู่แค่ตรงทางแยกเข้าหมู่บ้าน คุณสุนทรจึงรู้สึกใจชื้นขึ้นมาบ้าง คุณพ่อก็พูดออกมาเสียงดังว่า "โว้ย! เหนื่อยจริง ๆ" จึงได้เข้าไปขอน้ำดื่มกินที่บ้านของคนรู้จัก เพื่อนของคุณพ่อก็ถามว่า "จะไปไหนกันเนี่ย" คุณพ่อก็ตอบว่า "มาเยี่ยมลุงกับป้า"
แล้วคุณพ่อก็หันมาถามคุณสุนทรว่า "เมื่อตะกี้เห็นอะไร?!!" แต่ตอนนั้นคุณสุนทรยังไม่หายจากอาการช็อค จึงไม่กล้าพูดอะไร
คุณพ่อจึงบอกว่า "ข้าได้ยินตั้งแต่ตอนที่ปั่นจักรยานผ่านหลังวัดแล้วล่ะ แต่ไม่อยากหันไปดู"
สักพักก็ได้ออกมาจากบ้านของเพื่อน แล้วปั่นจักรยานต่อไปจนถึงบ้านของคุณลุงคุณป้า คุณพ่อก็ได้เล่าเหตุการณ์ที่เจอมาให้ฟัง คุณลุงบอกว่า
"คนแถวนี้โดนกันเรื่อยแหละ พวกเอ็งยังดีที่เห็นแค่หัว บางคนเห็นเป็นตัว คลานตามหลังจักรยานมาก็ยังมี จนนอนจับไข้หัวโกร๋นไปหลายคนแล้ว ล่าสุดเห็นคนหล่นจากต้นไม้มากองอยู่ข้างหน้า คนเค้าก็คิดว่ากระโดดฆ่าตัวตาย พอวิ่งไปดูใกล้ ๆ กลายเป็นศพขึ้นอืดที่ตายมาหลายวันแล้ว ก็วิ่งหนีกันจนป่าแตก"และนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมด
เครดิตแหล่งข้อมูล : klangsayong
เครดิต :
ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!" ประกาศ "
ร่วมแสดงความคิดเห็น