หมอปลาบุกพิสูจน์ อาถรรพ์อัมพฤกษ์ทั้งบ้านแนะเลี้ยงควายเดี๋ยวผีก็หนี
สำหรับความแปลกของครอบครัวดังกล่าว เริ่มจากยายฉลวย สนธิพงษ์ อายุ 81 ปี ซึ่งอาศัยรวมอยู่กับลูกและหลาน ๆ อีก 5 คน นอกจากยายฉลวยที่ป่วยเป็นอัมพฤกษ์แล้ว ยังมีคนในครอบครัวประกอบไปด้วย นางสมพิศ สนธิพงษ์ อายุ 56 ปี ลูกสาวของยายฉลวย ซึ่งป่วยเป็นอัมพาตซีกขวา นายสำราญ สว่างแสง อายุ 78 ปี สามีนางสมพิศ ป่วยอัมพาตซีกขวา และ น.ส.ทุเรียน ทองบุญ อายุ 48 ปี ป่วยอัมพาตซีกซ้าย เหลือเพียง น.ส.ธนพร ทองบุญ อายุ 23 ปี ซึ่งยังแข็งแรง แต่เพิ่งคลอดลูกชายได้เพียง 1 เดือน ซึ่งก็มีอาการตัวเหลือง น้ำหนักน้อย ไม่แข็งแรง สร้างความประหลาดใจให้กับเพื่อนบ้านเป็นอย่างมาก เนื่องจากป่วยด้วยโรคชนิดเดียวกันเกือบทั้งบ้าน
นางฉลวย บอกว่า จนถึงทุกวันนี้ตนก็ยังไม่ทราบสาเหตุว่า ทำไมคนในครอบครัวถึงได้ล้มป่วยด้วยอาการอัมพาตครึ่งซีก เพราะเริ่มต้นจากสามีของตนล้มป่วยเป็นคนแรก กระทั่งเสียชีวิต จากนั้นก็มีคนในบ้านล้มป่วยต่อเนื่อง รวมถึงขณะนั้นมีคนป่วยไปแล้วกว่า 5 คน มีทั้งที่ยังนอนติดเตียง และหายแล้ว ตนก็ไม่ทราบว่าสาเหตุที่แท้จริงจะเกี่ยวข้องกับเรื่องของการเลี้ยงผีโรง หรือเรื่องของอาถรรพ์บ้านเลขที่ 37 เนื่องจากบ้านของน้องชาย บ้านเลขที่ 37/1 แม้ว่าจะอยู่คนละหลัง แต่เป็นบ้านเลขที่เดียวกัน เพียงแค่มีทับ ก็ยังมีคนล้มป่วยด้วยโรคอัมพฤกษ์อัมพาตเหมือนกัน
ส่วนเรื่องที่มาของการเลี้ยงผีโรง ไม่ใช่ความเชื่อหรือเกิดจากฝั่งครอบครัวของตน แต่เกิดขึ้นจากฝั่งของแฟนที่เสียชีวิตไป เพราะครอบครัวของแฟน เป็นคนที่มีความเชื่อและเลี้ยงเรื่องผีโรงมาก่อน โดยวันที่แฟนกำลังจะตายได้สั่งเสียเอาไว้ว่า ถ้าหากไม่อยากให้ลูกหลานได้รับบาดเจ็บ ล้มป่วย หรือมีใครได้รับอันตราย ให้เลี้ยงดูและดูแลผีบรรพบุรุษ ที่เรียกว่าผีโรง ให้เป็นอย่างดี ซึ่งนับจากวันนั้น มาจนถึงปัจจุบันรวมกว่า 20 ปีแล้ว ที่ตนต้องเลี้ยงผีโรงประจำปี โดยจะจัดขึ้นสำหรับวันข้างขึ้นเท่านั้น แต่จะไม่จัดในวันข้างแรม
โดยที่ผ่านมาจัดไปเมื่อวันที่ 26 ต.ค. 63 โดยมีการปูเสื่อกลางบ้านชั้น 2 จัดเตรียมหัวหมู เครื่องยำ ผลไม้ จุดธูปบอกกล่าว ขอให้ดูแลปกป้องลูกหลาน ให้พ้นจากอันตราย มักจะทำแบบนี้เป็นประจำทุกปี แต่ยอมรับว่าปีนี้ด้วยสภาวะเศรษฐกิจ จึงทำให้ลด เครื่องเซ่นไหว้ลง ส่วนตัวจึงไม่รู้ว่าเกี่ยวข้องหรือไม่ ที่ทำให้คนในบ้านเริ่มมีอาการเจ็บป่วยมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม การเดินทางมาของหมอปลาในวันนี้ ตนมีความเชื่อมั่นว่า จะทำให้ครอบครัวเกิดความกระจ่าง หากเกี่ยวข้องกับผีโรง เพราะเป็นสิ่งที่มองไม่เห็น แต่ถ้าหมอปลาทำนายทายทักแล้วว่ามีความเกี่ยวข้องกับเรื่องการเลี้ยงผีโรง หรือแม้แต่เรื่องของอาถรรพเลขที่บ้าน ตนก็พร้อมที่จะแก้ไข และปฏิบัติตาม แต่หากไม่เกี่ยวข้อง ตนก็อยากรู้ว่าที่คนในบ้านเจ็บป่วยเป็นเพราะอะไร
ทั้งนี้เบื้องต้นได้มีหมอดูให้คำแนะนำว่า หากเกี่ยวข้องกับเรื่องเลขที่บ้าน 37 ให้มีการเพิ่มตัวเลข 9 หน้า 9 หลัง เช่นเติม 9 37 9 เอาไว้ เป็นการแก้เคล็ด หรือแนวทางออกอย่างหนึ่ง ซึ่งตนเตรียมที่จะนำตัวเลขมาติดเพิ่ม เพื่อความสบายใจและทำตามที่หมอบอกทีมข่าวยังได้เจอกับนายอาริยะ ศรีเมฆ หลานชายของนางฉลวย ซึ่งอาศัยอยู่บ้าน 37/1 โดยเป็นบ้านอีกหนึ่งหลัง อยู่อีกซอยถัดไป บอกว่า
ตนไม่รู้ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเกี่ยวข้องกับอาถรรพ์บ้านในที่หรือไม่ เพราะบ้านของตนก็ใช้เลขที่ 37 เหมือนกัน แต่มีทับ (37/1) โดยก่อนหน้านี้ประมาณ 15 ปีก่อน แม่ของตนซึ่งเป็นน้องสาวของนางฉลวย ได้เกิดเหตุการณ์ล้มทำให้ตัวชาไปครึ่งซีกซ้าย แต่หลังจากที่รับการรักษา จึงทำให้อาการดีขึ้น จนกระทั่งปัจจุบันหายดี และย้ายไปอยู่กับญาติที่กรุงเทพฯ ต่อมาเมื่อ 10 ปีก่อน พ่อของตนก็เพิ่งเส้นเลือดในสมองแตกตาย ดังนั้นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจึงไม่แน่ใจว่า เกี่ยวข้องกับอาถรรพ์เลข 37 หรือไม่
ทั้งนี้ หากนางฉลวยเตรียมที่จะมีการเพิ่มตัวเลข เป็นการแก้เคล็ด ส่วนตัวก็พร้อมที่จะทำตาม เพื่อความสบายใจของลูกหลาน กับคนที่เหลืออยู่ในตอนนี้ กลัวว่าวันหนึ่งจะล้มป่วยตามไปอีก
ส่วนเรื่องของผีโรง ตนยังไม่ปักใจเชื่อ เพราะไม่รู้ว่าเกี่ยวข้องหรือไม่ เนื่องจากเป็นสิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้ แต่ในช่วงระยะหลัง นับตั้งแต่มีการบูชาและไหว้ผีโรงหรือผีบรรพบุรุษ ครอบครัวก็มีฐานะดีขึ้น แต่เพียงมีคนล้มป่วยได้รับบาดเจ็บ ดังนั้นจึงไม่รู้ว่าเกี่ยวข้องกับการเลี้ยงหรือไหว้ผีโรงหรือไม่ ซึ่งวันนี้อยากจะให้หมอปลามาช่วยดู อย่างน้อยก็เพื่อความอุ่นใจ หรือทำให้คนในครอบครัวได้รับการแก้ไข และได้รับคำแนะนำในการที่จะทำให้คนในครอบครัวมีสุขภาพที่ดีขึ้น
ทีมข่าวได้ขึ้นไปด้านบนชั้น 2 พร้อม น.ส.ศุภลักษณ์ สว่างแสง อายุ 23 ปี หลานสาวของนางฉลวย โดยเจ้าตัวได้สาธิตการปูเสื่อ และการจัดตั้งเครื่องเส้น สำหรับบูชาผีโรง ที่คนในครอบครัวจะทำพร้อมกันเป็นประจำทุกปี โดยหลังจากที่มีการปูเสื่อแล้ว จะใช้ผ้าสีขาวปูทับ หันหน้าไปทางทิศตะวันออก แล้วตั้งกระถางธูปเอาไว้ทิศตะวันตก
หลังจากเตรียมเครื่องเส้นไหว้แล้ว ก็จะใช้ธูปดิบ ปักลงบนเครื่องเส้นไหว้ทั้งหมด โดยไม่มีการจุด แล้วนางฉลวยซึ่งเป็นแม่ใหญ่ จะเป็นคนพาลูกหลานกล่าวพร้อมกัน โดยขอให้ผีบรรพบุรุษ หรือผีโรง ปกปักรักษาและดูแลลูกหลานไม่ให้ทำร้าย หรือมีใครได้รับอันตราย และนางฉลวยก็จะมีการกล่าวถึงรายชื่อบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้ว รวมกว่า 15 คน เพื่อให้มารับของเส้นไหว้ที่ลูกหลานนำมาถวาย จากนั้นลูกหลานก็จะจุดธูปอีกคนละ 1 ดอก ปักลงบนกระถางธูป
กระถางธูปที่ใช้ประกอบพิธีจริงในวันที่ 26 ต.ค. 63 ที่ผ่านมา ยังว่างอยู่ในสภาพเดิม ทีมข่าวสังเกตว่าด้านไหนมีก้านธูปสีแดง เพียงแค่ 6 ก้าน โดยปกติการร่วมพิธีจะมีครอบครัวมาร่วมทั้งหมด 9 คน ต้องมีธูป 9 ก้าน น.ส.ศุภลักษณ์ บอกว่า พิธีในวันดังกล่าวมีญาติเดินทางมาไม่ครบ เพราะเนื่องจากติดทำงานอยู่ต่างจังหวัด โดยทุกปีจะมาครบ พร้อมหน้าพร้อมตา แต่ปีนี้มาเพียงแค่ 6 คน จึงไม่รู้ว่าผีบรรพบุรุษเกิดความไม่พอใจหรือไม่ ประกอบกับที่ผ่านมาการจัดเตรียมของเส้นไหว้ จะต้องซื้อของแพงและดี รวมมูลค่ากว่า 2,000 บาท แต่สำหรับปีนี้ลดลงเหลือเพียงแค่หลักพัน เพราะเนื่องจากเศรษฐกิจ และกำลังทรัพย์ จึงไม่รู้ว่าการลดของเส้นไหว้ เช่น หัวหมูเล็กลง ผลไม้หายไป จะทำให้ผีบรรพบุรุษไม่พอใจหรือไม่ทันทีที่เข้าไปถึงภายในบ้าน หมอปลาได้เดินเข้าไปพูดคุยกับนางทุเรียน ทองบุญ ผู้ป่วยติดเตียง ป่วยเป็นโรคอัมพฤกษ์ครึ่งซีกฝั่งซ้าย โดยหมอปลาได้สัมผัสที่เท้าและขาอ่อน โดยมีการบีบนวด และกดแรง ๆ ลงไปที่น่องเป็นบางครั้ง นางทุเรียนจึงแสดงอาการเจ็บปวด และร้องขึ้นมา ซึ่งหมอปลาบอกว่า อาการป่วยโรคอัมพฤกษ์อัมพาต ยังไม่ถึงขั้นรุนแรง เพราะถ้ารุนแรงจะไม่รู้สึกเจ็บแม้แต่น้อย
หลังจากนั้นหมอปลาได้ขอเดินขึ้นไปที่บ้านชั้น 2 เพื่อขอดูจุดที่มีการไหว้ผีโรง หมอปลาเจอกับน.ส.หนึ่ง หลานสาวของนางฉลวย ซึ่งสิ่งแรกที่หมอปลาถาม คือ ตอนทำพิธีหรือไหว้ผี มีอุปกรณ์ที่เรียกว่า ตลับหรือไหม เพราะเท่าที่ตนเคยปราบผี หรือช่วยเหลือเกี่ยวกับเรื่องผีโรง จะมีการเลี้ยงผีโดยอยู่ในตลับ ดังนั้นถ้าครอบครัวอ้างว่ามีการสืบทอดหรือเลี้ยงผีโรง ก็ต้องมีลักษณะคล้ายตลับเก็บเอาไว้อยู่ในบ้าน ซึ่งน.ส.หนึ่ง ตอบว่าไม่มี
โดยทีมข่าวสังเกตว่า หมอปลามา ไม่ได้มีอาการหาวแต่อย่างใด จากนั้นหมอปลา จึงได้มีการพูดคุยกับน.ส.หนึ่ง ว่า ตนขอแนะนำให้เลิกไหว้ผี เพราะไม่รู้ว่าสิ่งที่ไหว้นั้นคืออะไร แต่ไม่มีการสัมผัส ดังนั้นจึงอยากให้ประหยัดเงิน และเอาเงินส่วนที่ต้องซื้อของไหว้ เอามาใช้จ่าย เอามาเลี้ยงดู เอามาให้คนในครอบครัวกินให้อิ่ม จากนั้นสุขภาพก็จะดี โรคภัยก็จะไม่มาเบียดเบียน
หลังจากที่หมอปลาได้ดูพื้นที่ไหว้ผีโรงแล้ว กำลังจะกลับ น.ส.หนึ่ง ได้เดินเข้าไปภายในห้องนอน แล้วหยิบเอาตลับสี่เหลี่ยม ซึ่งด้านเป็น ลูกกรอกหมู หมอปลาจึงตอบกลับไปว่า สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ทำให้ครอบครัวแย่หรือมีปัญหา เพราะเป็นแค่แร่ธาตุหลังจากที่ดับสูญไปแล้ว ดังนั้นไม่ควรเอามาเก็บไว้ในบ้าน ควรเอาไปไว้วัดหรือทิ้งออกไปจากบ้าน และลูกกรอกหมูก็ไม่ได้ให้คุณหรือโทษ หรือแสดงอิทธิฤทธิ์อะไรให้ครอบครัวดีขึ้น เลี้ยงควายดีกว่าจากนั้นหมอปลาได้ลงจากบ้านไปเจอกับนางฉลวย ซึ่งนั่งอยู่ด้านล่างของบ้าน หมอปลา บอกกับนางฉลวย ว่าหลังจากที่เดินทางมาแล้ว ไม่ได้สัมผัสหรือเจอดวงวิญญาณของผีโรง ดังนั้นให้สบายใจ และไม่ต้องทำอะไรอีกแล้ว ขอให้ดูแลคนในบ้าน พากันไปกายภาพบำบัด ทำจิตใจให้ดีขึ้น ทุกคนก็จะหาย อย่างมงายกับสิ่งที่มองไม่เห็น หรือสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง ก่อนที่หมอปลาจะเดินทางกลับในเวลา 20.20 น. ได้เรียกให้ลูกหลานของคนในบ้านมาเจอ พร้อมทั้งสอนวิธีการกายภาพบำบัด โดยการนวด การกดเส้น และการเคลื่อนไหว เพื่อให้คนที่ป่วยเป็นโรคอัมพฤกษ์อัมพาต สามารถฟื้นตัวได้เร็วขึ้น และยังบอกอีกว่า การพาไปรักษา รับยาที่โรงพยาบาล จะทำให้อาการขึ้นต่อเนื่อง
นางฉลวย ให้สัมภาษณ์หลังจากเจอหมอปลาว่า ตนรู้สึกสบายใจขึ้น โดยหลังจากนี้ก็เตรียมที่จะทำตามที่หมอปลาแนะนำ ทั้งเรื่องการติดกระจก เพื่อแก้ปัญหาเรื่องทางสามแพร่ง แต่ส่วนเรื่องของผีโรง รวมถึงเรื่องอาถรรพ์เลขที่บ้าน ตนก็ถือว่ารับฟังเอาไว้ ยังไม่เชื่อทั้งหมด ส่วนปีหน้าจะมีการเลี้ยงผีโรงอีกหรือไม่ ขอพิจารณาดูก่อน แต่อย่างน้อยหมอปลามาชี้แนะ ก็ทำให้ครอบครัวเกิดความสบายใจมากขึ้น