เกาะมรณะ
ประสบการณ์นี้เกิดขึ้นที่บังกะโลแห่งนึง อยู่ในเกาะทางภาคตะวันออก เมื่อประมาณสามปีที่ผ่านมา เดิมทีเพื่อนๆของคุณบาสได้นัดกันว่าจะไปเที่ยวที่เกาะแห่งนี้หลายครั้งหลายคราแล้ว แต่ด้วยความที่ว่านัดกันแล้วก็มากันไม่ครบบ้าง คละกันบ้าง มีปัญหาส่วนตัวกันบ้าง
จึงไม่มีโอกาศได้มากันสักที จึงนัดกันอีกครั้งว่าจะไปกันวันสิ้นปี คือวันที่ สามสิบถึงวันที่หนึ่ง นัดกันไว้สามสิบกว่าคน คุณบาสจึงได้โทรจองห้องพักไว้ก่อน พอถึงวันนัดตอนเที่ยง ก็รอเพื่อนกันจนถึงบ่ายสาม แต่มากันแค่แปดคน จนรอกันไม่ไหว ก็เลยคิดว่าไปกันเท่านี้ก็ได้ เดี๋ยวจะไม่ได้ไปกันอีก จากนั้นจึงนั่งเรื่องข้ามมาที่เกาะแห่งนี้ เป็นเวลาห้าโมงเย็น
ไปติดต่อบังกะโลที่คุณบาสโทรจองไว้ก่อนหน้านี้ แต่บังกะโลกลับเต็ม เพราะเค้าเอาลูกค้าเข้ามาก่อน ก็เลยมองหน้ากันว่าจะเอายังไงดี ไม่มีที่พักแน่วันนี้ คุณบาสเลยติดต่อเพื่อนที่รู้จักในระแวกนั้นว่าแถวนี้ยังมีห้องพักว่างมั้ย เพื่อนตอบมาว่าไม่มีเลย คุณบาสและเพื่อนๆเลยตัดสินใจเช่ารถมอเตอร์ไซค์สองคัน เพื่อที่จะขี่หาห้องพักกัน ก็ได้หากันจนถึงเวลาประมาณหกโมงกว่าๆ
ไปได้ที่พักอยู่ที่หาดแห่งหนึ่ง เป็นลักษณะเป็นหาดแฝด แบ่งเป็นฝั่งเอและฝั่งบี และตรงกลางจะมีโขดหินกั้นไว้ บังกะโลอื่นๆที่อยู่แถวนั้นจะหันหน้าไปทางชาดหาด แต่บังกะโลที่คุณบาสได้นั้นกลับหันหน้าไปทางโขดหิน คือทางท้ายหาด
และลักษณะที่ตั้งบังกะโลที่คุณบาสเช่าอยู่เหมือนจะตั้งอยู่บนโขดหิน เป็นบ้านหลังใหญ่มาก ประตูเป็นกระจกบานเลื่อนใหญ่ๆ มีเตียงเดียวแต่ใหญ่พอสมควร สามารถนอนบนเตียงได้ห้าคน อีกสามคนเลยต้องนอนด้านล่าง พอคุณบาสและเพื่อนๆเก็บของเข้าที่พักแล้วล็อกบ้านเสร็จก็ลงเล่นน้ำกันเลย เพื่อนของคุณบาสก็ได้ไปเช่าอุปกรณ์ดำน้ำมาเล่นกัน
มีเพื่อนคุณบาสอยู่คนนึง ชื่อแว่น ในขณะที่คุณแว่นดำน้ำอยู่แล้วโผล่ขึ้นมาจากน้ำ คุณแว่นสังเกตเห็นผ้าม่านที่อยู่หลังประตูกระจกขยับเปิดออก แล้วก็ปิดเหมือนเดิม เหมือนมีคนแอบดูอยู่หลังผ้าม่าน เป็นแบบนี้อยู่หลายครั้ง คุณแว่นจึงหันไปถามเพื่อนว่ามีใครอยู่ในห้องพักหรือป่าว ก็ได้คำตอบมาว่าไม่มี จึงคิดว่าน่าจะเป็นพัดลม มันไม่น่าจะมีใครอยู่ในห้อง เพราะล็อกไว้แล้ว
ทุกคนเลยว่ายน้ำเข้ามาจับกลุ่มกันแล้วมองไปที่บ้านพัก ปรากฏว่าผ่าม่านมันสะบัดจริงๆ ลักษณะเหมือนมีคนดึงแล้วก็ปล่อย คุณบาสเห็นแบบนั้นก็ขนลุกขึ้นมาทันที เพื่อนในกลุ่มก็พูดขึ้นมาว่าอาจจะเป็นพัดลมก็ได้มั้ง ซึ่งก็อาจจะเป็นไปได้ ก็เลยขึ้นจากน้ำกัน แล้วก็ไปหาห้องอาบน้ำเช่า เพราะว่าไม่อยากเข้าบ้านพักแบบตัวเปียกเดี๋ยวทรายมันจะเลอะ
คุณบาสและคุณแว่นอาบน้ำเสร็จก่อนจึงเดินเข้าบ้านพัก ก็พบว่าเปิดพัดลมทิ้งไว้จริงๆด้วย จากนั้นก็ได้เข้าไปอาบน้ำที่บ้านพักกันอีกรอบ คุณบาสอาบเสร็จแล้วก็เลยออกมานั่งอยู่ที่หน้าบังกะโล เหลือคุณแว่นอาบน้ำคนเดียว สักพักเพื่อนที่ไปอาบน้ำที่ห้องน้ำเช่าก็ทยอยกันกลับมา ก็เลยมาตั้งวงกันที่หน้าบ้านพัก แล้วคุณแว่นก็ตามออกมา จนถึงราวๆสามทุ่ม ก็เริ่มสงสัยกันว่า บรรยากาศรอบข้างไม่มีใครเลย มันดูเงียบผิดปกติ
เพื่อนในกลุ่มก็บอกว่าเราอาจจะอยู่ท้ายหาด เลยไม่ค่อยมีใครเข้ามา สักพักคุณแว่นเกิดปวดปัสสาวะ ก็เลยลุกขึ้นไปปัสสาวะข้างบันไดทางขึ้นบ้านพัก แล้วอยู่ๆคุณแว่นก็ล้มลงนั่ง คุณบาสก็ถามว่า "เป็นอะไร แว่น" คุณแว่นหายใจหอบแล้วตอบว่า "ข้ารู้สึกไม่สบาย ขอไปนอนก่อนนะ" พูดจบคุณแว่นก็เข้าบ้านพักไปทันที คุณบาสก็มาคุยกันในวงเพื่อนว่า "ไอ้แว่นมันเป็นอะไร นี่พึ่งจะสามทุ่มเอง" เพื่อนก็บอกว่า "สงสัยมันจะไม่สบาย ปล่อยให้มันนอนไปเถอะ"
จนเวลาประมาณห้าทุ่ม คุณบาสและเพื่อนๆก็เข้าไปนอนกัน คุณบาสนอนด้านล่างติดห้องน้ำ ซักพักได้ยินเสียงเหมือนคนหอบเร็วมาก ก็เลยตื่นขึ้นมาดูคุณแว่นที่นอนอยู่บนเตียง แต่ปรากฏว่าคุณแว่นนอนนิ่งปกติ ไม่ได้มีการหายใจหอบอย่างที่ได้ยิน แต่เสียงหายใจหอบก็ยังดังอยู่ ณ ขณะนั้น จึงหันไปมองรอบๆ และสังเกตุเพื่อนทุกคน แต่ทุกคนก็นอนปกติไม่ได้มีใครนอนหายใจหอบ
คุณบาสเลยคิดว่าสงสัยตัวเองจะมึนๆ ก็เลยกลับไปนอนต่อ จนถึงแปดโมงเช้า คุณบาสก็ตื่นขึ้นพบว่า คุณแว่นไม่อยู่ หายไปจากห้อง คุณบาสก็เลยปลุกเพื่อนๆแล้วถามว่าคุณแว่นหายไปไหน แต่ก็ไม่มีใครรู้ พอไปตรวจดูสัมภาระก็ปรากฏว่าสัมภาระของคุณแว่นก็หายไปด้วย คุณบาสก็เลยโทรไปถามคุณแว่
คุณบาส : แว่น อยู่ที่ไหน
คุณแว่น : อยู่ที่ บขส แล้ว
คุณบาส : เฮ้ย ข้ามไปตั้งแต่เมื่อไหร่อ่ะ
คุณแว่น : ตั้งแต่หกโมงเช้าแล้ว
คุณบาส : เป็นไรมากป๊ะเนี่ย
คุณแว่น : แม่ข้าเรียกกลับกะทันหัน
คุณบาส : เฮ้ย ก่อนที่จะมาเอ็งยังขอแม่อยู่เลย แล้วนี่มาเรียกกลับได้ไง
แล้วเพื่อนของคุณบาสก็บอกว่าปล่อยให้คุณแว่นกลับไปเถอะ สงสัยจะมีเหตุจำเป็นจริงๆ จากนั้นเพื่อนของคุณบาสที่ชื่อต้อง เดินเข้าห้องน้ำเพื่อที่จะอาบน้ำ อยู่ๆก็ร้องตะโกนออกมาทันที ทุกคนจึงวิ่งเข้าไปดูในห้องน้ำ เห็นเส้นผมเป็นกระจุกๆร่วงอยู่ทั่วห้องน้ำ จึงคิดว่าแม่บ้านน่าจะยังไม่ได้เข้ามาทำความสะอาจมั้ง
แต่คุณบาสก็แน่ใจว่าตอนที่อาบน้ำเมื่อวานก็ไม่เห็นมี ก็เลยเอาน้ำฉีดลงท่อไป และก็ไม่อยากคิดอะไรมาก ทุกคนก็เลยอาบน้ำแต่งตัว แล้วออกไปทานข้าวข้างนอกกัน พอทานเสร็จก็เดินกลับกันมา ระหว่างที่เดินกลับ คุณบาสสังเกตเห็นแม่บ้านคนนึง เดินถือดอกไม้ธูปเทียนตรงไปทางบ้านพักที่คุณบาสพักกันอยู่ จนถึงหน้าบ้านพัก แม่บ้านก็ยกมือไหว้พร้อมกับจุดธูปจุดเทียน
คุณบาสและเพื่อนๆตกใจมาก แม่บ้านหันมาเห็นคุณบาสและเพื่อนๆก็ตกใจ แล้วก็บอกว่า "ตรงนี้เข้าไม่ได้นะค่ะ มันเป็นเขตห้ามเข้า" คุณบาสก็บอกว่า "ทำไมจะเข้าไม่ได้ครับ ผมและเพื่อนๆพักอยู่ที่บ้านพักหลังนี้" แม่บ้านได้ยินแบบนั้นก็ตกใจแล้วบอกว่า "ขอโทษ ป้าไม่รู้" แล้วรีบดับธูปดับเทียน แล้วก็เดินหนีออกไปเลย ทุกคนก็งงว่าแม่บ้านมาไหว้อะไร หรือจะเป็นศาล เลยลองเดินดูจนทั่วก็ไม่มี ทุกคนก็คิดว่ามันแปลกๆแล้ว
จากนั้นก็เข้าไปบ้านพักตามปกติ จนถึงราวๆหกโมงเย็น ก็ได้ออกไปเที่ยวผับกัน จนถึงเวลาประมาณตีหนึ่งก็ได้ขี่รถกลับกันออกมา คุณบาสเป็นคนขี่แล้วมีเพื่อนซ้อนหลังอีกสองคน อีกคันนึงคุณต้องเป็นคนขี่แล้วมีเพื่อนซ้อนหลังอีกสามคน คุณต้องขี่นำหน้าไปก่อน คุณบาสอยู่คันหลัง
ซักพักนึงคุณบาสรู้สึกว่าเหมือนมีมือมาโอบที่เอวทั้งสองข้าง คุณบาสคิดว่าเป็นมือของเพื่อนที่ซ้อนท้าย แต่พอสังเกตดูดีๆแล้ว มันไม่ใช่มือของเพื่อน จึงหันหลังกลับไปดู ปรากฏว่ามันไม่ใช่มือของเพื่อนจริงๆแล้วก็ไม่รู้ว่ามือนั้นมันโผล่มาจากตรงไหน คุณบาสตกใจมากเกือบจะควบคุมรถไม่อยู่ จึงรีบขี่กลับมาที่พัก
ก็เจอเพื่อนอีกสี่คนเข้านอนกันแล้ว คุณบาสฝังใจกับเรื่องที่พึ่งเจอมา ก็เลยชวนคุณต้องนั่งดื่มด้วยกันต่อ จนราวๆตีสอง ก็เข้านอนกัน คุณบาสรู้สึกว่ากำลังเคลิ้มๆ ก็ได้ยินเสียงคนกระโดดลงจากเตียงดัง ตึ้ง คุณบาสตกใจแล้วหันไปมอง เป็นว่าเพื่อนคนนึงเล่นพิเรน คุณบาสเลยไม่สนใจเลยนอนต่อ แต่ตาของคุณบาสมองออกไปนอกประตูบ้านพักไปทางชายหาด เพราะไม่ได้ปิดผ้าม่านไว้
คุณบาสเห็นผู้ชายเล่นน้ำอยู่คนนึง พอคุณบาสยิ่งมอง ก็เหมือนกับว่าผู้ชายคนนั้นยิ่งไกล้เข้ามาเรื่อยๆ จากนั้นร่างของผู้ชายคนนี้ก็พยายามจะปีนขึ้นมาบนบันไดบ้านพัก พยายามจะกระโดด แต่ก็กระโดดไม่ถึง คุณบาสก็พยายามมอง และสักพักเค้าก็ปีนขึ้นมาได้ แล้วมายืนอยู่ที่ประตูกระจกบ้านพัก ลักษณะคือเป็นผู้ชายผิวขาว อายุประมาณสิบเจ็ดถึงสิบแปด
ตัวเปียกโชก คุณบาสนอนมองต่ออีกประมาณสามถึงสี่นาที แล้วร่างนั้นก็ค่อยๆเดินผ่านกระจกเข้ามา คุณบาสตกใจมาก คิดว่ามันชักจะไม่ดีแล้ว แล้วคุณบาสก็ไม่รู้สึกตัวอีกเลย จนมารู้สึกตัวอีกทีตอนใกล้จะเช้า ได้ยินเสียงหายใจหอบแรงมาก คุณบาสเลยหันไปมอง ปรากฏว่าผู้ชายร่างเปียกคนนั้นนอนหายใจหอบอยู่ข้างๆคุณบาส คุณบาสรู้สึกถึงความเย็นจากร่างของผู้ชายคนที่นอนข้างๆเหมือนเนื้อหมูที่พึ่งออกมากจากตู้แช่แข็ง
คุณบาสลุกขึ้นแล้วพยายามมอง พอแน่ใจแล้วว่าไม่ใช่เพื่อน ก็เลยตัดสินใจเดินออกมาจากบ้านพัก แล้วไปนั่งตั้งสติอยู่ข้างล่าง คิดว่าสิ่งนั่นที่อยู่ในบ้านมันคืออะไรกันแน่ สักพักนึงเพื่อนของคุณบาสก็เดินออกมาจากบ้านพักที่ละคนๆ จนครบเจ็ดคน คุณบาสก็เลยถามว่าเป็นอะไร เพื่อนตอบว่านอนไม่ได้เลย คุณบาสก็ไม่ได้ถามต่อ เพราะรู้แล้วว่าสาเหตมันคืออะไร
จนรุ่งเช้าคุณบาสและเพื่อนๆก็รีบเข้าไปเก็บของแล้วเช็คเอาท์ออกทันที พอกลับไปถึงฝั่งคุณบาสได้โทรไปหาคุณแว่น แต่คุณแว่นก็ไม่รับสาย จนผ่านไปสามวัน ก็ยังติดต่อคุณแว่นไม่ได้ คุณบาสคิดว่าท่าไม่ดีแล้ว ก็เลยคุยกับเพื่อนๆว่าจะไปหาคุณแว่นที่บ้าน พอไปถึงที่บ้านคุณแว่นก็ไม่มีใครอยู่บ้านเลย
คุณบาสเลยโทรไปหาคุณแว่นอีกครั้งนึง แต่ก็ยังไม่มีคนรับ สักพักนึงคุณพ่อของคุณแว่นขับรถเข้ามาในบ้าน พอคุณพ่อเห็นหน้าคุณบาสและเพื่อนๆ ก็ลดกระจกลงแล้วด่าแบบเสียๆหายๆทันที คุณบาสจับใจความได้ประมาณว่า พาคุณแว่นไปเที่ยวที่ไหนมา ถึงได้ป่วยหนักแบบนี้ ตอนนี้อยู่ที่โรงพยาบาล
คุณบาสและเพื่อนๆก็ได้ไปเยี่ยมกัน พอไปถึงก็เห็นสภาพของคุณแว่นคือ นอนจับไข้ บนหัวไม่มีเส้นผมเลย จนผ่านมาประมาณสี่เดือน คุณแว่นก็เล่าให้คุณบาสฟังว่า คืนนั้นตอนที่คุณแว่นยืนปัสสาวะอยู่ที่ข้างบันได คุณแว่นเห็นขาคนห้อยลงมาจากหลังคาบ้าน คุณแว่นเลยหันไปมอง ก็เห็นคนนั่งบนหลังคาแล้วมองลงมาหาคุณแว่น คุณแว่นตกใจแล้วล้มลง แล้วปรากฏว่า ผู้ชายคนที่อยู่บนหลังคาก็หายไป แล้วไปโผล่นั่งรวมกันอยู่กับกลุ่มเพื่อนๆ
คุณแว่นเห็นแบบนั้นก็เลยไม่กล้าเข้าไปนั่งในวงด้วย แล้วก็ขอเข้าไปนอนก่อน พอรุ่งเช้าคุณแว่นก็หนีกลับ หลังจากนั้น คุณบาสก็ได้กลับไปสืบเรื่องนี้ โดยกลับไปที่บ้านพักต้นเรื่อง แล้วคุณบาสก็สังเกตที่บันได เหมือนมีฝุ่นแป้งสีขาวๆจับอยู่แล้วก็มีทองคําเปลวแปะอยู่ด้วย แล้วด้านข้างบันไดที่เป็นโขดหินมีแต่ดอกดาวเรือง ดอกมะลิเต็มไปหมด
จนคุณบาสต้องไปถามเรื่องนี้จากเพื่อนที่อยู่ระแวกนั้น เพื่อนบอกว่ามีนักท่องเที่ยวมาพักที่บ้านหลังนี้แล้วจมน้ำ ศพลอยขึ้นมาติดโขดหินข้างบันไดที่พัก กู้ภัยจึงเอาศพขึ้นจากมาตรงนั้นเลย และเค้าถือกันว่าถ้าตรงไหนเอาศพขึ้น ที่ตรงนั้นจะแรง และนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมด
ที่มา : THE SHOCK
เครดิต :
ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!" ประกาศ "
ร่วมแสดงความคิดเห็น