Dr.Weiss บรรยายในหนังสือ Many Lives, Many Masters เกี่ยวกับประวัติของคนไข้คนหนึ่งของเขา คือ แคทเธอลีน อายุราว 30 ปีในขณะนั้น เธอเข้ามาพบเขาที่คลินิกด้วยอาการเฉียบพลัน จากการถูกความกลัวและความวิตกกังวล อย่างรุนแรง จู่โจม เขาได้ให้การรักษาทางจิตเวชแบบเดิมแก่เธอ นาน 1 ปี แต่ก็ไร้ผล เธอเป็นคนใจแคบและปฏิเสธการใช้ยาใดๆ แต่สุดท้ายก็ยอมรับการรักษาด้วยการสะกดจิต โดยไม่แน่ใจนัก ดร.ไวส์รู้สึกว่า สภาพจิตของแคทเธอลีนอาจจะเกี่ยวข้องกับ ความทรงจำที่เก็บกดไว้ตั้งแต่ช่วงวัยเด็กของเธอ เขาเชื่อว่าหากเธอสามารถฟื้นความจำเกี่ยวกับเหตุการณ์ในอดีตได้ ภายใต้การสะกดจิต ปัญหาก็จะแก้ตกไปได้ แล้วเธอก็จะเป็นอิสระจากความทรงจำเหล่านั้น เธอจะต้องหายจากความเจ็บป่วยได้หมดแน่ แต่แม้เธอจะสามารถฟื้นความทรงจำที่ไม่ดีในวัยเด็กได้ เธอก็คงยังไม่หายป่วยอยู่ดี ดังนั้นดร.ไวส์จึงตัดสินใจให้เธอ ระลึกย้อนความทรงจำกลับไปอีก ในช่วงก่อนวัยเด็กของเธอ ในระหว่างช่วงของการรักษาครั้งหนึ่ง เมื่อแคทเธอลีนอยู่ในภาวะถูกสะกดจิต ดร.ไวส์พูดกับเธอว่า กลับไป ณ เวลาที่อาการของคุณเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก ดร.ไวส์มิได้คาดหวังว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป แคทเธอลีนพูดว่า ฉันมองเห็นขั้นบันไดสีขาว ทอดยาวขึ้นไปสู่อาคารที่มีเสามากมาย ด้านหน้าของมันกว้างขวางมาก แต่ไม่มีระเบียง ฉันใส่กระโปรงยาว และเสื้อคลุมยาว ที่ทำจากผ้าเนื้อหยาบ ผมสีบลอนด์ของฉันถักเป็นเปีย ดร.ไวส์ไม่อาจเข้าใจความหมายที่เกี่ยวข้องกัน ของเรื่องที่ได้ยินนี้ เขาจึงถามเธอว่า ตอนนั้นเป็นปีอะไร และเธอมีชื่อเรียกว่าอะไร เธอตอบว่า อารันด้า อายุ 18 ปี , ตอนนั้นเป็นปี 1863 ก่อนคริสตกาล พื้นดินกันดาร , ร้อน และทุกแห่งเต็มไปด้วยทราย มีบ่อน้ำอยู่บ่อหนึ่ง แต่ไม่มีแม่น้ำ น้ำไหลมาจากภูเขาลงมาสู่หุบเขา แคทเธอลีนได้ย้อนความทรงจำไปสู่ยุค 4000 ปีก่อนในตะวันออกกลาง ชื่อของเธอไม่ใช่แคทเธอลีน และรูปลักษณ์ของเธอก็แตกต่างไปจากปัจจุบัน รูปหน้า ร่างกาย ทรงผม และเสื้อผ้าก็ไม่เหมือนปัจจุบัน เธอสามารถจำภูมิประเทศที่เกี่ยวข้อง เสื้อผ้าและการแต่งตัว ตลอดจนรายละเอียดเกี่ยวกับชีวิตประจำวัน จนกระทั่งถึงช่วงที่พบกับความตาย จากการจมน้ำ ซึ่งลูกของเธอถูกดึงออกไปจากอ้อมกอดเธอ เธอจำได้กระทั่งว่าหลังจากตายแล้ว จิตของเธอก็ลอยออกมาอยู่เหนือร่างกายนั้น ในระหว่างการรักษาครั้งนี้เธอยังสามารถระลึกชาติอื่นได้อีก 2 ชาติ หนึ่งในสองชาตินั้นเธอเป็นโสเภณีในประเทศสเปน ยุคศตวรรษที่ 18 ส่วนอีกชาติหนึ่งเป็นหญิงชาวกรีกในช่วงก่อนคริสตกาล คำพูดเหล่านี้ทำให้ดร.ไวส์รู้สึกอึ้งไป เขารู้ดีว่าเธอไม่ได้มีอาการเหมือนพวกบุคลิกแปรปรวน หรือ แปลกแยก และเธอก็ไม่ได้รับยาอะไร เขาพบว่าในระหว่างถูกสะกดจิตเธอ คล้ายกับฝันไป แต่สิ่งที่มีนัยสำคัญที่สุดคือ สุขภาพของเธอดีขึ้น ซึ่งเขารู้ดีว่ามันไม่ใช่เป็นผล จากการเกิดภาพหลอน หรือ ความฝันอย่างแน่นอน
ในระหว่างช่วงของการติดตามผลการรักษา แคทเธอลีนยังสามารถระลึกชาติได้อีก 10 ชาติ เธอได้ประสบกับเหตุการณ์ที่มีทั้งความกลัว และความสุข ที่มีผลควบคุมพฤติกรรมของเธอในปัจจุบันชาติ ทำให้เธอเริ่มยอมรับ ,เข้าใจ และสุดท้ายก็สามารถเอาชนะ สิ่งต่างๆเหล่านั้นที่คอยผลักดัน พฤติกรรมที่ไม่ดีของเธอ แล้วเธอก็สามารถเอาชนะความกลัว และได้พบกับความสงบภายใน ในระหว่างการถูกสะกดจิตเธอยังพบว่า ผู้คนที่เคยเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตเธอเมื่ออดีตชาติ ยังเคยเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเธอในอีกหลายๆชาติ รวมทั้งในชาตินี้ด้วย ตัวอย่างเช่น ดร.ไวส์ เคยเป็นครูขอ
งเธอ , เป็นสามีของเธอ และเคยเป็นผู้ที่สังหารเธอในสงครามระหว่างชนเผ่า เมื่อครั้งที่เธอกลับชาติมาเกิดเป็นเด็กชายของชนเผ่าหนึ่ง สัมพันธภาพในช่วงชีวิตนี้ก็ไม่ใช่สัมพันธภาพที่ดีอีกเช่นกัน ตรงกับสิ่งที่อาจารย์หลี่ หง จื้อ กล่าวไว้ว่า
ผู้คนกลับชาติมาเกิด เป็นกลุ่มก้อน เพื่อชดใช้หนี้กรรม หรือร่วมทุกข์สุขกัน ทว่าแตกกันไปในบทบาทและช่วงวัย และก็ต่างกันกับในชาติก่อนๆด้วย
สิ่งที่ดร.ไวส์ได้ยินได้ฟังจากแคทเธอลีน ในระหว่างการรักษาแบบ PRL นั้นยังมีเรื่องความลี้ลับของชีวิตมนุษย์ด้วย เช่น แคทเธอลีนจำได้ว่า ในขณะเมื่อพบกับความตาย จิตของเธอจะลอยออกมาอยู่เหนือร่างกายเธอเสมอ แล้วก็ถูกเรียกกลับไปสู่โลกของจิตวิญญาณ โดย แสงแห่งความเมตตา และในช่วงนี้เธอยังได้สัมผัสกับ ผู้ดูแล จิตวิญญาณหลายๆท่าน ซึ่งท่านเหล่านี้สามารถสื่อสารและส่งข่าวสารด้านจิตวิญญาณมายังดร.ไวส์ โดยผ่านแคทเธอลีน และในระหว่างที่อยู่ภายใต้การสะกดจิตนี้ แคทเธอลีน ได้เรียนรู้เข้าใจสี่งต่างๆมากยิ่งกว่าในช่วงชีวิตตามปกติของเธอเสียอีก ดร.ไวส์ เองก็ค่อยๆคลายความลังเลสงสัย ในความเชื่อเกี่ยวกับชีวิตในชาติก่อนตามไปด้วย
ครั้งหนึ่งในช่วงPRL แคทเธอลีน จำได้ถึงความตายในชาติหนึ่งของเธอ เมื่อหลายศตวรรษก่อน ในขณะที่จิตของเธอถูกนำไปสู่แสงสว่างแห่งความเมตตา ที่เธอคุ้นเคย นั้น เธอก็ได้รับข่าวสารหนึ่งเพื่อส่งต่อมายัง ดร.ไวส์ ดังมีความว่า บิดาของคุณกำลังอยู่ที่นี่ เช่นเดียวกับลูกชายของคุณ เขายังเด็กมาก บิดาคุณบอกว่าคุณน่าจะรู้จักเขา เพราะเขาชื่อ Avrom และลูกสาวคุณก็มีชื่อตามเขา ลูกชายคุณเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจ หัวใจเขามีความสำคัญมากทีเดียว เพราะมันพลิกกลับเหมือนหัวใจไก่ เขาได้เสียสละแทนคุณอย่างมาก เพราะเขารักคุณ จิตของเขามาจากระดับชั้นสูงมาก ความตายของเขาเป็นการชดใช้หนี้แทนบิดาของเขา เขายังอยากให้คุณรู้ว่า ยารักษาโรคทั้งหลาย มีผลรักษาโรคได้เพียงระดับหนึ่งเท่านั้น ซึ่งก็จำกัดมาก ข้อความเหล่านี้ทำให้ดร.ไวส์ ตกตะลึงมาก เนื่องจากแคทเธอลีนเองไม่เคยรู้เรื่องเกี่ยวกับตัวเขามาก่อนเลย รวมทั้งไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับครอบครัวของเขา เรื่องเศร้าที่สุดในชีวิตของเขาคือ ความตายเมื่อแรกเกิดของลูกชายคนแรกของเขา สภาพหัวใจของเขาอยู่ในภาวะอันตราย เพียงแค่ 10 วันแรกที่คลอดออกมา ซึ่งเป็นเรื่องที่พบได้เพียงหนึ่งใน 10 ล้านเท่านั้น เขาเสียชีวิตเมื่ออายุเพียง 23 วัน ส่วน บิดาของดร.ไวส์ เสียชีวิตด้วยโรคกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน และท่านมีชื่อว่าAvrom ! หลังจากนั้นอีก 4 เดือนลูกสาวของดร.ไวส์ก็คลอดออกมา เธอมีชื่อว่า Amy ตามชื่อคุณปู่ที่ล่วงลับไป เนื่องจากแคทเธอลีน และดร.ไวส์ ไม่ใช่คนใกล้ชิดกันมาก่อน เธอจึงไม่มีทางรู้เรื่องราวเหล่านี้เลย ทว่าสิ่งที่เธอเล่าออกมานั้นทำให้ดร.ไวส์ถึงกับผงะ ดังนั้นเขาจึงถามเธอว่า ใครอยู่กับคุณที่นั่น ? ใครบอกเรื่องนี้กับคุณ ? เธอตอบเบาๆว่า ท่านผู้รู้แจ้งเหล่านั้น ท่านผู้รู้แจ้ง บอกให้ฉันฟัง พวกเขายังบอกว่าฉันเคยมาเกิดในโลกนี้ 86 ครั้งแล้ว
การรักษาให้แคทเธอลีน และผลที่ได้รับ สร้างความประทับใจอย่างลึกซึ้งให้กับดร.ไวส์ ทำให้เขากลายมาเป็นผู้ที่เชี่อถือการรักษาแบบ PRL ดร.ไวส์และจิตแพทย์อื่นอีกหลายคนที่ให้การรักษาคนไข้ด้วยวิธีนี้ บ่อยครั้งที่ความกลัวและความเจ็บป่วย มิได้มาจากเหตุการณ์ในชาติก่อน ในการเตรียมการ และการชักนำคนไข้เข้าสู่กระบวนการPRL เพื่อย้อนสู่อดีตชาตินั้น จะมีผลกระทบด้านบวกต่ออาการโศกเศร้าของคนไข้ ดังนั้นคนไข้จึงสามารถเข้าใจแรงผลักดันที่อยู่เบื้องหลังรูปแบบพฤติกรรมของตน และสามารถแก้ไขได้อย่างสอดคล้องกัน จิตแพทย์เหล่านี้ยังพบว่า โดยการย้อนสู่อดีตชาติ และการได้รับประสบการณ์ซ้ำ ต่อความเจ็บปวด ณ เวลานั้นอีก ทำให้คนไข้สามารถปล่อยวาง ความเศร้าโศกและความแค้นเคืองที่สุมอยู่นานนับศตวรรษ ภาระอันหนักอึ้งที่จิตนั้นแบกอยู่ ก็ถูกปลดออก และไม่อาจส่งผลต่อชีวิตในปัจจุบันได้อีกต่อไป
4 ปีหลังจากการรักษาให้แคทเธอลีน ดร.ไวส์ก็มีความกล้าพอที่จะเสี่ยงต่อ การสูญเสียสถานภาพทางวิชาการของเขา โดยเขียนหนังสือเล่มแรกขึ้นมา เกี่ยวกับการกลับชาติมาเกิด นั้นบอกผู้คนให้รู้เรื่องความเป็นอมตะของจิตวิญญาณ ในช่วงหลายๆปีต่อมา ดร.ไวส์ได้ให้การรักษาคนไข้อีก หลายร้อยคนด้วยวิธีย้อนอดีต คนไข้หลายๆคนมาจากชนชั้นต่างๆกันในสังคม และมีภูมิหลังทางศาสนาที่ต่างกัน รวมทั้งพวกที่ไม่เชื่อในพระเจ้าด้วย ดร.ไวส์ตีพิมพ์หนังสือเล่มหนึ่งซึ่งเขาได้บรรยายรายละเอียดเกี่ยวกับคนไข้เหล่านี้จำนวนหนึ่ง นั่นคือหนังสือชื่อ Through Time into Healing (หรือ การหายป่วยโดยผ่านกาลเวลา ) ผู้จัดพิมพ์กล่าวว่า ดร.ไวส์เขียนหนังสือเล่มนี้บนพื้นฐานของประสบการณ์ทางคลีนิกอันกว้างขวางของเขา เขาได้อาศัยเวลาในการทดลองสำหรับการรักษาทางจิตเวช ซึ่งแสดงให้เห็นว่า การย้อนกาลเวลานั้น ได้ทำให้เกิดความก้าวหน้าที่สำคัญในการรักษา ใจ กาย และจิตวิญญาณ ในตอนท้ายของหนังสือนี้ ดร.ไวส์แสดงให้เห็นว่า ประสบการณ์ใกล้ตาย และการที่จิตออกจากร่าง ช่วยยืนยันการมีอยู่จริงของชีวิตในอดีตชาติ