ที่เกิดเหตุเจ้าหน้าที่พบว่าหญิงดังกล่าวกำลังนอนหลับห่มผ้า ข้างกายมีกองซากศพเด็ก 2 คน ชิ้นส่วนแขนขาวางกองเกลื่อนอยู่กับพื้น จึงได้นำตัวมาสอบปากคำ แต่หญิงรายดังกล่าวอยู่ในสภาพที่นั่งเหม่อลอยแม้ลุกขึ้นมานั่งแต่ก็ไม่ยอม พูดจา เจ้าหน้าที่ 3 คนพยายามที่จะซักถามแต่ก็ไม่ได้รับคำตอบใดๆ ต้องใช้เวลานานกว่าครึ่งวัน จึงสามารถพิมพ์ลายนิ้วมือได้
ร.ต.อ.สัมพันธ์กล่าวว่า คดีนี้เบื้องต้นได้เชิญทนายความมาร่วมสอบปากคำแล้ว ทราบว่าหญิงที่ก่อเหตุดังกล่าวเป็นคนวิกลจริต เมื่อปี 2550 ได้เข้าทำการรักษาที่โรงพยาบาลสวนปรุง อ.เมืองเชียงใหม่ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาได้รับการรักษาและไปรับยากินระงับอาการทางประสาทผ่าน ทางโรงพยาบาลฝาง และใช้ชีวิตตามปกติโดยช่วยสามีรับจ้างเก็บลำไยที่ จ.ลำพูน กระทั่งยาหมดไม่ได้กินมา 1-2 เดือน
"แต่ช่วงวันเกิดเหตุเป็นช่วงที่ต้องกลับมารอรับยากินจึงกลับมานอนที่บ้าน โดยสามีต้องไปทำงานจะตามมารับยาให้ในอีก 2-3 วัน แต่ปรากฏว่ามาเกิดเหตุไม่คาดคิดดังกล่าวเสียก่อน จากการตรวจสอบพบว่าหญิงรายดังกล่าวได้ใช้มีดสำหรับฟันกิ่งไม้ใหญ่จำนวน 3 ด้ามผ่าหั่นร่างลูกเล็กทั้ง 2 คน ในตอนดึก โดยแยกร่างออกเป็นชิ้นๆ ส่วนศีรษะถูกมีดสับละเอียด แต่ไม่พบหลักฐานว่าได้นำซากศพมาต้มแซ่บหรือกินอย่างที่ปรากฏเป็นข้อมูลทาง อินเตอร์เน็ตที่มีการนำไปขยายความเล่าต่อกันไปอย่างคลาดเคลื่อน" ร.ต.อ.สัมพันธ์กล่าว
ร.ต.อ.สัมพันธ์กล่าวว่า เราตรวจสอบที่เกิดเหตุแล้วยืนยันว่าไม่พบยาเสพติด หรือการใช้ยาบ้าใดๆ และจากการตรวจสอบประวัติของคนในครอบครัวดังกล่าวก็ไม่พบว่ามีการเสพหรือค้า ยาบ้าอีกด้วย ทางโรงพยาบาลฝางที่รักษาแจ้งว่าผู้ป่วยทางจิตรายนี้มักมีอาการหลอนและหูแว่ว กลัวว่าจะมีคนมาทำร้าย จึงอยากให้ประชาชนที่รับทราบข่าวรวมถึงที่มีการนำรูปภาพและข้อมูลไปแพร่ผ่าน ทางอินเตอร์เน็ตได้ระมัดระวัง และเห็นใจหญิงวิกลจริตและครอบครัวของเขาด้วย เพราะเมื่อเกิดเรื่องขึ้นถือว่าเป็นกรณีที่น่าสะเทือนใจและไม่ควรไปซ้ำเติม
อย่างไรก็ตาม ล่าสุดตำรวจได้แจ้งดำเนินคดีกับหญิงรายดังกล่าวในข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา แล้ว และได้ทำเรื่องจากการฝากขังส่งไปทำการรักษาที่โรงพยาบาลสวนปรุง เนื่องจากไม่ใช่คนปกติต้องได้รับการรักษา และอยู่ในสภาพที่ยังไม่สามารถต่อสู้คดีใดๆ ได้
ที่มาจาก : Thehouse