ถ้ำพญานาค แห่งนี้ ตั้งอยู่. ณ วัดถ้ำศรีมงคล อยู่ที่อำเภอสังคม จ.หนองคาย ถูกพบโดย ลุงคำสิงห์ เกศศิริ ซึ่งเดิมเป็นเจ้าของผืนดินบริเวณปากถ้ำ ต่อมาได้ยกที่ให้กับทางวัดศรีมงคล และพัฒนาจนเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งในจังหวัดหนองคาย ภายในถ้ำนั้นมีโพรงซึ่งมีลักษณะคล้ายรูอยู่มากมาย ซอกซอยแบ่งแยกออกไปทั่วบริเวณ โดยแต่ละรูสามารถเชื่อมทะลุถึงกันได้อย่างน่าอัศจรรย์ และขนาดรูนั้นก็ใหญ่กว่าตัวคนเพียงเล็กน้อย ดูๆ ไปเหมือนกับเส้นทางการเลื่อยของงูใหญ่หรือพญานาค มากกว่าจะเป็นทางสัญจรของมนุษย์ แถมโพรงเหล่านี้ยังมีน้ำไหลเอื่อยไปตามทางอีกด้วย ประดึงว่าช่วยให้พวกงูเลื่อยไปมาได้สะดวกขึ้น และเมื่อนำมาพิจารณาประกอบกับเรื่องเล่าต่างๆ แล้ว ทำให้เชื่อได้ว่า ถ้ำแห่งนี้ต้องเป็นที่อยู่และที่สัญจรของพญานาคแน่นอน
ลุงเล่าว่า ได้เข้ามาถากถางทำไร้ที่นี่ อยู่มาวันหนึ่งก็ได้เห็นสัตว์ป่าเที่ยวออกมาเดินหากิน แต่พอเดินเข้ามาใกล้มันก็ผลุบหายลงหลุมไปทันที พร้อมๆ กับมีค้างคาวบินออกมาจากหลุม ก็เลยนึกเอะใจว่าน่าจะมีถ้ำอยู่ข้างในแน่ๆ จึงได้ชวนพรรคพวกลงไปสำรวจกัน แล้วก็ได้เจอโพรงถ้ำเป็นห้องและคูหามากมาย หลังได้พบถ้ำก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก จนวันหนึ่งได้มาทำไร่แถวนี้อีกและเผลองีบหลับไป แล้วก็ได้ฝันไปว่า มีพญานาคตัวสีเหลืองใหญ่ยาวขึ้นมาจากแม่น้ำโขง บอกให้ลุงช่วยเฝ้าดูแลรักษาถ้ำเพราะเคยเป็นคนเฝ้าถ้ำแห่งนี้มาก่อนเมื่อชาติที่แล้ว ในตอนแรกลุงไม่เชื่อ แต่จากนั้นไม่กี่วันลุงก็เป็นไข้ป่า รักษาหมอปัจจุบันเท่าไหร่ก็ไม่หาย ลุงเลยไปหาหมอนั่งทางในเขาบอกว่าให้ไปขอขมาพญานาคซะ พอลุงทำตามก็หาย นับจากนั้นลุงเลยมาช่วยดูแลถ้ำ คอยพาคนลงไปเที่ยวชมถ้ำ
ครั้งหนึ่งลุงได้ร่วมไปกับคณะเดินทางเป็นเวลาถึง 6 วัน พิสูจน์แล้วว่า เส้นทางคดเคี้ยวในถ้ำสามารถนำไปสู่แม่น้ำโขงได้จริง แต่การเดินทางไปยังจุดนั้นยังยากลำบากอยู่ เนื่องจากสภาพภายในถ้ำมีช่องทางคดเคี้ยวเลี้ยวลดไปมามากมาย อาจทำให้พลัดหลงได้ง่ายๆ อีกทั้งขนาดของเส้นทางก็แคบมาก ไม่สามารถยืนหรือเดินเข้าไปแบบธรรมดาได้เลย จะต้องก้มตัว มุด ลอด หมอบ คลาน ไปตลอดทาง เรียกว่าต้องเคลื่อนที่ไปให้เหมือนกับงูก็ว่าได้