ทวารบาลติดฝิ่นสุดลี้ลับแห่งเทวดาผู้พิทักษ์ประตูแห่งวัดบวรนิเวศวิหาร
หน้าแรกTeeNee เรื่องลึกลับ Xfile ตำนาน เรื่องเล่าจากโบราณ ทวารบาลติดฝิ่นสุดลี้ลับแห่งเทวดาผู้พิทักษ์ประตูแห่งวัดบวรนิเวศวิหาร
เปิดตำนาน "ทวารบาลติดฝิ่น" !!! สุดลี้ลับแห่งเทวดาผู้พิทักษ์ประตู แห่ง วัดบวรนิเวศวิหาร !!! #เรื่องเล่าขานตำนานลี้ลับ
ประตูเซี่ยวกาง (เสี้ยวกาง) หรือ ทวารบาล เป็นซุ้มประตูใหญ่ของกำแพงด้านหน้าพระอาราม มีลักษณะเลียนแบบศิลปะจีน หลังคาซุ้มมุงกระเบื้องกาบกล้วย หน้าบันประดับด้วยกระเบื้องเคลือบลายดอกพุดตานใบเทศเ กลางหน้าบันเป็นลายหน้าขบคายเถาดอกพุดตาน หน้าต่าง ๒ ข้างประดับด้วยกระเบื้องปรุ บานประตูสลักเป็นอารักษ์ทวารบาลแบบที่เรียกว่า เซี่ยวกาง (เสี้ยวกาง) เป็นรูปเทวดาแบบจีนหนวดเครายาว ปิดทองเหลืองอร่าม มีตำนานอยู่ในลัทธิมหายานว่า เป็นจอมแห่งเทวดาผู้พิทักษ์ประตูวัด ปัจจุบันประตูนี้เปิดเฉพาะงานพระราชพิธี โอกาสพิเศษหรือวันธรรมสนะเท่านั้น
ประตูเซี่ยวกาง (เสี้ยวกาง) หรือ ทวารบาล เป็นซุ้มประตูใหญ่ของกำแพงด้านหน้าพระอาราม มีลักษณะเลียนแบบศิลปะจีน หลังคาซุ้มมุงกระเบื้องกาบกล้วย หน้าบันประดับด้วยกระเบื้องเคลือบลายดอกพุดตานใบเทศเ กลางหน้าบันเป็นลายหน้าขบคายเถาดอกพุดตาน หน้าต่าง ๒ ข้างประดับด้วยกระเบื้องปรุ บานประตูสลักเป็นอารักษ์ทวารบาลแบบที่เรียกว่า เซี่ยวกาง (เสี้ยวกาง) เป็นรูปเทวดาแบบจีนหนวดเครายาว ปิดทองเหลืองอร่าม มีตำนานอยู่ในลัทธิมหายานว่า เป็นจอมแห่งเทวดาผู้พิทักษ์ประตูวัด ปัจจุบันประตูนี้เปิดเฉพาะงานพระราชพิธี โอกาสพิเศษหรือวันธรรมสนะเท่านั้น
ประตูเซี่ยวกาง (เสี้ยวกาง) หรือ ทวารบาล เป็นซุ้มประตูใหญ่ของกำแพงด้านหน้าพระอาราม มีลักษณะเลียนแบบศิลปะจีน หลังคาซุ้มมุงกระเบื้องกาบกล้วย หน้าบันประดับด้วยกระเบื้องเคลือบลายดอกพุดตานใบเทศเ กลางหน้าบันเป็นลายหน้าขบคายเถาดอกพุดตาน หน้าต่าง ๒ ข้างประดับด้วยกระเบื้องปรุ บานประตูสลักเป็นอารักษ์ทวารบาลแบบที่เรียกว่า เซี่ยวกาง (เสี้ยวกาง) เป็นรูปเทวดาแบบจีนหนวดเครายาว ปิดทองเหลืองอร่าม มีตำนานอยู่ในลัทธิมหายานว่า เป็นจอมแห่งเทวดาผู้พิทักษ์ประตูวัด ปัจจุบันประตูนี้เปิดเฉพาะงานพระราชพิธี โอกาสพิเศษหรือวันธรรมสนะเท่านั้น
หลังจากทางวัดมาพบศพจึงทำพิธีกงเต๊กให้ ต่อมาชาวจีนคนนั้นได้ไปเข้าฝันสมเด็จท่านเจ้าอาวาสว่า ให้ทำที่ให้อยู่แล้วจะเฝ้าวัดให้ ทางวัดจึงสร้างกำแพงทำซุ้มประตูแล้วอัญเชิญดวงวิญญาณชาวจีนคนนั้นมาสถิตอยู่ ณ ประตูแห่งนี้
ต่อมาก็มีเรื่องเล่ากันว่าของในวัดที่เคยถูกขโมยไปหลายครั้ง ล้วนได้คืนกลับมาหมดด้วยความศักดิ์สิทธิ์ของดวงวิญญาณคนจีนที่คอยเฝ้าวัด ทำให้เกิดการบูชาทวารบาลขึ้น ซึ่งหลายๆ คนต่างเชื่อกันว่าถ้าบนอะไรแล้วก็จะได้สิ่งนั้นตามที่ขอ และนิยมนำฝิ่นมาป้ายปาก และนำถุงโอเลี้ยงหรือโอยั๊วะมาแขวนบูชาเพื่อเป็นการแก้บนเพราะมีสีดำคล้ายฝิ่น นอกจากนั้นก็ยังแขวนพวงมาลัยบูชาอีกด้วย
ต่อมาก็มีเรื่องเล่ากันว่าของในวัดที่เคยถูกขโมยไปหลายครั้ง ล้วนได้คืนกลับมาหมดด้วยความศักดิ์สิทธิ์ของดวงวิญญาณคนจีนที่คอยเฝ้าวัด ทำให้เกิดการบูชาทวารบาลขึ้น ซึ่งหลายๆ คนต่างเชื่อกันว่าถ้าบนอะไรแล้วก็จะได้สิ่งนั้นตามที่ขอ และนิยมนำฝิ่นมาป้ายปาก และนำถุงโอเลี้ยงหรือโอยั๊วะมาแขวนบูชาเพื่อเป็นการแก้บนเพราะมีสีดำคล้ายฝิ่น นอกจากนั้นก็ยังแขวนพวงมาลัยบูชาอีกด้วย
นอกจากนั้นยังมีความเชื่ออื่นๆ ดังที่จุลภัสสร พนมวัน ณ อยุธยา ผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์ไทย กล่าวว่า
"ในช่วงรัชกาลที่ ๒ หรือ ๓ พวกคนจีนเข้ามาในเมืองไทยเยอะเพื่อมาเป็นแรงงาน พวกนี้ส่วนมากจะสูบฝิ่นติดฝิ่น แล้วอาจจะมาขอหวยอะไรทำนองนี้ แล้วปรากฏว่าถูกหวย คิดว่าเราเองชอบฝิ่นเจ้าก็คงชอบเหมือนกันเลยเอาขี้ฝิ่นดิบมาป้ายปาก ปากก็เลยดำ แต่ปัจจุบันความเชื่อมันก็เริ่มกลาย กลายเป็นว่าท่านโปรดของดำหมดเลย เหมือนพระราหู พอเราผ่านไปก็เลยเห็นเป็นถุงโอเลี้ยงบ้าง ซุปไก่ดำบ้าง ตามความเชื่อของแต่ละบุคคล"
Cr::: tsood.com
"ในช่วงรัชกาลที่ ๒ หรือ ๓ พวกคนจีนเข้ามาในเมืองไทยเยอะเพื่อมาเป็นแรงงาน พวกนี้ส่วนมากจะสูบฝิ่นติดฝิ่น แล้วอาจจะมาขอหวยอะไรทำนองนี้ แล้วปรากฏว่าถูกหวย คิดว่าเราเองชอบฝิ่นเจ้าก็คงชอบเหมือนกันเลยเอาขี้ฝิ่นดิบมาป้ายปาก ปากก็เลยดำ แต่ปัจจุบันความเชื่อมันก็เริ่มกลาย กลายเป็นว่าท่านโปรดของดำหมดเลย เหมือนพระราหู พอเราผ่านไปก็เลยเห็นเป็นถุงโอเลี้ยงบ้าง ซุปไก่ดำบ้าง ตามความเชื่อของแต่ละบุคคล"
Cr::: tsood.com
เครดิต :
ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!" ประกาศ "
ร่วมแสดงความคิดเห็น