ชุมทางปีศาจ


ชุมทางปีศาจ

ขึ้นชื่อว่าผีๆ สางๆ ซะอย่าง รับประกันซ่อมฟรีได้เลยว่า ผีไทยมีมากมายหลายชนิด หรือจะบันทึกไว้ในกินเนสส์บุ๊กก็ยังได้ว่า "เมืองไทยมีภูตผีปีศาจมากมายหลายหลากที่สุดในโลก"

บางคนอาจจะยังงงๆ หรือนึกไม่ออก ว่าบรรดาอสุรกายทั้งหลายแหล่ที่ชาวชมรมตาแหกหวาดกลัวจนขนหัวลุกตั้ง โดยเฉพาะเด็กๆ นี่กลัวผีนักเชียว แต่ก็ชอบฟังผู้ใหญ่เล่าเรื่องผี อ่านหนังสือผีทั้งหลายจนเติบโตแค่ไหนก็ยังกลัวผี แต่ชอบเรื่องผีๆ สางๆ อยู่น่ะ ...มีอะไรมั่ง? ในฐานะสมาชิกถาวรแห่งชมรมปอดอ้าแห่งประเทศไทย ขอจำแนกแจกแจงถึงบรรดาผีสางอีนางโกงน้อยใหญ่ทั้งหลายให้ฟังเป็นข้อๆ หรือรายๆ ไป ดังต่อไปนี้

1.ผีธรรมดา

หมายถึงคนที่ล้มตายกลายเป็นผีเพราะการเจ็บไข้ได้ป่วย เช่น เป็นมะเร็งหรือปอดบวมตาย บางรายนอนหลับแล้วพาลไม่ตื่นซะเฉยๆ ถือว่าตายสบายที่สุด ข้อสำคัญคือหยุดหายใจ หรือจะพูดให้สวิงสวายหน่อยก็ต้องบอกว่า

"หายใจออกแล้วไม่หายใจเข้าก็ตาย หายใจเข้าไปแล้วไม่ยอมหายใจออกก็ตายเหมือนกันนั้นแล!"

ผีประเภทนี้เชื่อกันว่าไม่ค่อยดุร้ายหรือมีพิษสงเท่าไรนัก คือมักไม่แสดงตนให้คนขวัญหนีดีฝ่อ โดยไม่จำเป็น ตายแล้วตายเลย โดยเฉพาะคนแก่หง่อม สุกงอมเต็มที่เหมือนผลไม้หรือใบไม้ที่ถูกลมพัดโชยมา กระทบนิดเดียวก็ร่างผล็อยลงมาแล้ว

2.ผีตายโหง

ผีประเภทนี้ทำให้คนขวัญอ่อนหวาดหวั่นขวัญสยองเป็นที่สุด เพราะเป็นผีที่ไม่ได้เจ็บป่วยตาย หรือตายเพราะแก่เฒ่า แต่ตายเพราะอุบัติเหตุ เช่น รถชนกัน เรือล่ม โดนยิง โดนฟัน หรือโดนระเบิดตูมเดียวตัวไปทาง หาง...เอ๊ย! หัวไปทาง

รวมทั้งการฆ่าตัวตาย ไม่ว่าผูกคอตาย ยิงตัวตาย กระโดดตึกตาย ฯลฯ ทำอะไรก็ได้เพื่อให้ตัวเองตายๆ ไปซะที จะได้ไปเกิดใหม่ที่ไม่ต้องลำบากลำบนหรือทนทุกข์ทรมานเหมือนชาตินี้...เรียกว่าผีตายโหงทั้งนั้นเลย!

เชื่อกันฝังหัวมาตั้งแต่โบร่ำโบราณ ว่าผีตายโหงนั้นดุร้ายสาหัสนัก เพราะตายทั้งๆ ที่ยังไม่ถึงคราวตาย จิตวิญญาณยังผูกพันอยู่กับความหลัง หรือคนที่ตัวรักและห่วงใย รวมทั้งผู้ที่ตัวเกลียดชังคั่งแค้นด้วย...นิยมปรากฏกายหลอกหลอนเอาดื้อๆ สารพัดรูปแบบ

แต่ที่แน่ๆ ก็คือทำให้คนที่โดนหลอกวิ่งป่าราบ หรือเผ่นแน่บแทบตับทรุด...บางคนเรอได้เอิ๊กเดียวแล้วเป็นลม สลบคาที่ อาการหนักกว่านั้นก็หัวใจวายไปเลย

3.ผีตายห่า

สมัยก่อนยังไม่มีวัคซีนป้องกันเหมือนสมัยนี้ หน้าแล้งทีผู้คนมักจะเจ็บป่วยด้วยโรคทางเดินอาหาร ที่ร้ายแรงมากที่สุดคืออหิวาตกโรค คนโบราณเรียกว่า "ป่วง" บ้าง "ห่า" บ้าง ถ้าเป็นกันหลายๆ คนแทบทั้งหมู่บ้านก็จะเรียกว่า "ห่าลง"

เมื่อตายเพราะโรคนี้จึงเรียกตายเพราะโรคห่า แต่ภาษาปากของชาวบ้านร้านตลาดทั่วๆ ไปนิยมเรียกว่า "ตายห่า" หรือ "ห่ากิน" (จนตาย) กลายเป็นคำอุทานที่ใช้ด่าทอกันมาถึงทุกวันนี้ โดยเติบคำว่า "ไอ้" หรือ "อี" ไว้ข้างหน้า "ห่า"

สมัยก่อนในกรุงเทพฯล้มตายกันเป็นพันๆ คน จนเผาศพไม่ทัน ต้องขนมากองสุมๆ ก่ายเกยกันเกือบท่วมหัว โดยเฉพาะที่หน้าวัดสระเกศ ขนาดช่วยกันเผาทั้งวันทั้งคืนยังเผาไม่ทัน ฝูงแร้งมาเกาะกำแพงกับต้นไม้รอกินศพ จนกระทั่งเยือกเย็นน่าวังเวงใจไปทั้งเมืองหลวง...เมื่อบ้านเมืองเจริญขึ้น มียาสมัยใหม่ กับผู้คนรู้จักดูแลรักษาความสะอาด โรคอหิวาต์หรือ "ห่า" ก็ค่อยๆ จางหายไป

ที่น่าแปลกคือ ตายด้วยโรคห่า หรือตายห่า เป็นการล้มตายด้วยโรคภัยชนิดหนึ่งเหมือนวัณโรคหรือไข้หวัดใหญ่ แต่ผู้คนสมัยหลังๆ พากันรังเกียจรังงอนคำว่า "ห่า" โดยเห็นว่าเป็นคำหยาบคาย ผิดกับตายโหงที่น่าสะพรึงกลัวกว่าเป็นไหนๆ แต่กลับเชื่อกันว่าไม่หยาบคายเหมือนกับตายห่า

ยกตัวอย่างทีวีทุกช่องจะห้ามพูดคำว่า "ตายห่า" ออกอากาศเด็ดขาด เพราะถือว่าเป็นคำหยาบฟังแล้วระคายหูเป็นที่สุด แต่ถ้าพูดว่า "ตายโหง" ไม่เป็นไร เจ้าหน้าที่เซ็นเซอร์ยิ้มแย้มแจ่มใสสบายดี...แปล๊กแปลก

ไม่เข้าใจจริงๆ ให้ตายห่... เอ๊ย! ตายโหงซีเอ้า!


ขอบคุณเรื่องเล่าจากข่าวสด


เครดิต :

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์