วิญญาณนางนาคเมืองสุพรรณ ตอน 1
ตำนานสยองขวัญเกี่ยวกับเรื่อง "ผี" ของเมืองสุพรรณ
มีหลายเรื่องราวแห่งความเร้นลับที่ชาวบ้านยังคงเล่าสืบต่อกันมาไม่เคยลืมเลือน
ยังมีเรื่องราวเร้นลับที่เคยโด่งดังขนาดเป็นข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์อยู่เรื่องหนึ่งกล่าวถึงผีสาวตายท้องกลมแล้วกลายเป็น
"สัมภเวสี" ที่วิญญาณไม่ยอมไปผุดไปเกิด
เพราะยังห่วงหาอาวรณ์ในคนรักและลูก ด้วยจิตที่ยังยึดมั่นจึงคอยวนเวียนหลอกหลอนแสดงอิทธิฤทธิ์ต่างๆนานา
ให้คนเห็นจนเก็บเอาไปร่ำลือคล้ายตำนาน "นางนาคพระโขนง"
ความเฮี้ยนของ "วิญญาณนางนาคเมืองสุพรรณ" เริ่มต้นขึ้นเมื่อ 50 กว่าปีที่ผ่านมา
ซึ่งผู้เขียนขอยืนยันว่าเป็นเรื่องจริงจากคำบอกเล่า
ของผู้ที่เคยพบเห็นและจากสถานที่ที่เกิดเหตุการณ์จริง คนเฒ่าคนแก่ที่เคยอยู่รู้เห็นยังจำเรื่องราวเหล่านั้นได้แม่นยำ...
"วิญญาณเฮี้ยนนางนาคเมืองสุพรรณ" เกิดขึ้นที่บ้านเก้าห้อง อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี ณ บ้านไม้หลังใหญ่ริมฝั่งแม่น้ำท่าจีน
ที่นี่มีครอบครัวชาวจีนครอบครัวหนึ่งเป็นช่างทอง
มีฝีมือในการทำทองจนสร้างฐานะอยู่ในขั้นมีอันจะกิน ครอบครัวนี้มีลูกสาวหน้าตาสะสวยคมขำจนเป็นที่เลื่องลืออยู่คนหนึ่งชื่อว่า
"แม่พวย" ความสวยของ "แม่พวย" ผู้เฒ่าผู้แก่ที่ยังจำได้เล่าว่า สวยขาว รูปร่างอรชร จนทำให้หนุ่มๆแห่งบางปลาม้าหมายปองกันทั้งตำบล
แต่แม่พวยก็ยังไม่ตกลงปลงใจให้ใครเลย
จนกระทั่งมาเกิดบุพเพสันนิวาสได้พบกับคนรักซึ่งเป็นหนุ่มสมุทรสาครเกิดถูกตาต้องใจกันโดยที่แม่ของแม่พวย
ก็ไม่ขัดข้องเพราะเห็นว่าฝ่ายชายก็พอจะมีฐานะ จึงตกลงให้พ่อแม่ฝ่ายชายพาผู้ใหญ่มาสู่ขอจัดพิธีแต่งงานอย่างสมเกียรติ
สมหน้าสมตาทั้งสองฝ่ายเป็นที่กล่าวถึงของชาวบางปลาม้าในยุคนั้น
แม่พวยอยู่กินกับสามีจนมีลูกด้วยกันคนแรกเป็นผู้ชาย ช่วงเวลานั้นสามีของแม่พวยต้องไปกลับระหว่างบ้าน
ที่สมุทรสาครและสุพรรณฯเพราะเริ่มทำอาชีพประมงออกเรือหาปลาในทะเล เวลาออกทะเลแต่ละครั้งก็หลายวันกว่าจะกลับเข้าฝั่ง
จึงชักชวนให้แม่พวยไปอยู่สมุทรสาคนด้วยกัน
แต่แม่พวยก็ปฏิเสธ อ้างว่าเป็นห่วงพ่อแม่ซึ่งแก่ชราจะไม่มีใครคอยดูแล ชีวิตคู่ของแม่พวยจึงค่อยๆเริ่มห่างกัน เธอก็คอยดูแลพ่อแม่และลูกส่วนสามีนานๆจะกลับมาที
เคราะห์กรรมของแม่พวยเริ่มขึ้นอีกเมื่อต่อมาพ่อของเธอเกิดหลงผิดในอบายมุขติดการพนันเข้าบ่อน ไม่สนใจทำมาหากิน
เงินทองที่เคยมีก็ร่อยหรอจนความลำบากเข้ามาเยือน
เกิดอัตคัดขัดสนเงินทอง ทรัพย์สินที่มีอยู่เริ่มหมดไป ทำให้แม่ของแม่พวยเริ่มกลัดกลุ้มและหาทาง
ระบายด้วยการกินเหล้าเมายา นานวันเข้าก็ประคองสติไม่อยู่ เสียผู้เสียคนไป
ฝ่ายสามีของแม่พวยเมื่อกลับมาบ้านที่สุพรรณฯมาเห็นสภาพครอบครัวพ่อตาแม่ยายเป็นเช่นนี้ก็เริ่มเกิดความเบื่อหน่าย
เพราะเงินทองที่ให้เมียไว้ใช้ก็ถูกพ่อตารีดไถ
เอาไปเล่นการพนัดจนหมดจึงชวนแม่พวยไปอยู่สมุทรสาครด้วยกันอีก แต่แม่พวยก็ไม่ไปเพราะความเป็นห่วงพ่อแม่
จึงได้แต่อดทนยอมให้พ่อรีดไถเงิน ถึงขนาดหนักเข้าจะโฉนดที่ดินและบ้านไปขายเพื่อหาเงินไปเล่นการพนันแล้วเคราะห์กรรม
ก็ยังมาซ้ำเติมครอบครัวนี้เมื่อพ่อยื้อแย่งโฉนดไปขาย
ไม่ได้ก็โมโหจนขาดสติ จึงจุดไฟเผาบ้านตัวเอง แต่พลาดท่าไฟลามมาติดเสื้อผ้า ไฟจึงลุกไหม้ร่างจนอาการสาหัส
ชาวบ้านเล่าว่าแกนอนร้องอย่างเจ็บปวดทรมานอยู่ 3 วันก็สิ้นใจ
หลังจากพ่อตายแล้วแม่พวยก็ใช้ชีวิตอยู่ลำพังกับแม่ของเธอและลูกชาย ส่วนสามียังมาหาบ้างแต่ละครั้งก็นานหลายเดือน
จนแม่พวยคิดไม่ได้ว่าสามีจะมีผู้อื่น
ความกลัดกลุ้มใจเมื่อไม่มีทางออกจึงหาทางระบายด้วยเหล้าซึ่งระหว่างนั้นแม่พวยก็เกิดตั้งท้องลูกคนที่สองพอดี
และเมื่อสามีไม่ใยดีแม่พวยก็ยิ่งดื่มเหล้ามากขึ้นๆจนเด็กในท้องทนพิษร้ายของแอลกอฮอร์ไม่ไหวตายก่อนกำหนด
ตัวแม่พวยกว่าจะรู้ว่าลูกตายอยู่ในท้องก็สายไปเสียแล้ว
เธอจึงต้องทนทรมานกับความเจ็บปวดแสนสาหัสจนขาดใจตายตามลูกไปในที่สุด ส่วนแม่ของแม่พวยภายหลังก็ตรอมใจตายไปอีกคน
เลยทำให้บ้านฝากระดานหลังใหญ่ริมแม่น้ำท่าจีนหลังนั้นกลายเป็นบ้านร้างจนเกิดตำนานความเฮี้ยนในกาลต่อมา
ถ้าเปรียบชีวิตดุจดังละคร ครอบครัวที่น่าสงสารครอบครัวนี้
ก็แสดงให้เราเห็นหลายฉากของชีวิตที่โลดแล่นโดยเริ่มต้นและจบลงไปด้วย "แรงแห่งกรรม"
ไม่มีใครสามารถคาดและหวังได้ว่าปลายทางตอนจบของชีวิตเราจะดำเนินไปอย่างไร เพราะทุกสิ่งในโลกล้วน "ไม่แน่นอน"
ดังพุทธพจน์ที่พระพุทธองค์เคยตรัสไว้
ความตายของ "แม่พวย" เกิดเป็นตำนานคล้ายนางนาคพระโขนง เพราะว่าตายขณะที่ยัง "ห่วง" โดยเฉพาะ "ตายทั้งกลม"
นี่คนโบราณเขาว่าเฮี้ยนนัก คือตายขณะที่ยังไม่สิ้นอายุขัยและต้องทนเจ็บปวดทุกข์ทรมานเหลือที่จะทนก่อนสิ้นใจ "จิตสุดท้ายก่อนตาย"
สำคัญนัก อารมณ์นึกคิดถึงสิ่งใดก่อนตายเมื่อสิ้นลมไปแล้ว
จิตจะจดจ่อยึดติดแต่สิ่งนั้น ตัวแม่พวยก่อนตายเกิดความห่วงใยในลูกและสามีจนจิตหาความสงบไม่ได้เมื่อตายไป
จึงกลายเป็นสัมภเวสีเที่ยวหลอกหลอนผู้คนจนอยู่ไม่เป็นสุข
ชาวบ้านเล่าว่าเมื่อตายใหม่ๆ "ผีแม่พวย" ก็เริ่มแสดงฤทธิ์ให้ผู้คนและเด็กเล็กตื่นกลัวคือบ้านแม่พวยเมื่อร้างลง
ก็ทิ้งผลหมากรากไม้ไว้นานาชนิดให้ออกดอกออกผลมากมายทั้งมะม่วง
ขนุน ละมุด มะปราง ฯลฯ เด็กแถวนั้นรู้ทั้งรู้ว่าผีบ้านร้างนี้ดุ แต่เพราะความแก่นแก้วซุกซนจึงชักชวนพากันมาขโมยผลไม้ไปกิน
โดยมีหัวโจกอยู่คนหนึ่งเป็นปีนขึ้นไปเก็บมะม่วงซึ่งสุกเหลืองน่ากินเต็มต้น ระหว่างกำลังป่ายปีนขึ้นไปสายตาก็เหลือบไปเห็นว่ามีผู้หญิงผมยาว
กำลังนั่งห้อยขาอยู่บนต้น เมื่อแหงนมองดูเต็มตาก็แทบช็อคเพราะบนนั้นคือ
"แม่พวย" ซึ่งตายไปแล้วกำลังยิ้มให้อยู่ กองโจรเด็กเลยพากันวิ่งแน่บกระเจิงออกจากสวนร้างแทบไม่ทัน
ตั้งแต่นั้นข่าวผีแม่พวยก็แพร่ไปทั่วเพราะไม่ใช่แต่เด็กจะเจอเท่านั้นพวกเรือเมล์ที่แล่นผ่านหน้าบ้านแม่พวยก็เจอเหมือนกัน
คนเจอคือนายท้ายเรือเมล์สมัยนั้นชาวบ้านบางปลาม้า
ถ้าต้องการจะเข้าสุพรรณหรือไปกรุงเทพฯเขาจะมาคอยขึ้นเรือที่หัวสะพานท่าน้ำ พอเรือแล่นใกล้เข้ามาก็จะส่งสัญญาณ
ให้รู้เช่นใช้ตะเกียงหรือไฟฉายส่องไปมาให้เห็น
คืนนั้นเล่าว่าเป็นคราวเคราะห์ของนายท้ายชื่อว่า "ตากลิ่น" แกแล่นเรือมายามดึกเข้าเขตบางปลาม้าเกือบตี 3
เป็นเวลาที่เงียบสงัด ผู้โดยสารที่มาด้วยก็หลับกันหมด
ตลอดทั้งลำจึงมีแต่ตากลิ่นและคนเรือแค่ 2 คนที่ตื่นเพื่อพาผู้โดยสารไปสู่จดหมายพอเรือแล่นมาใกล้บ้านหลังหนึ่งก็เห็นแสงไฟเหมือนมีคนแว่งเป็นสัญญาณ
ให้เข้าไปรับที่หัวสะพานท่าน้ำมองเห็นรางๆว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งกำลังโบกตะเกียงเรียกเรือ จึงให้คนเรือหันหัวเรือเข้าไปที่ท่าน้ำนั้น
และเพราะมัวแต่หันหัวเรือเข้าเทียบสะพานนายท้ายก็เลยไม่ได้สนใจ
ว่าผู้โดยสารเป็นใคร แต่พอเรือหยุดนิ่งก็แปลกใจว่าทำไมไม่มีคนก้าวขึ้นเรือ มองไปที่สะพานเห็นแต่ตะเกียงเก่าๆสนิมเขรอะไม่มีโป๊ะไฟ
ครอบแก้วกลิ้งอยู่ จึงรีบส่องไฟฉายดูตลอดบริเวณก็ไม่มีใครอยู่บนสะพานซักคน เลยสะพานท่าน้ำขึ้นไปก็เป็นเรือนร้างหลังใหญ่ไม่มีใครอยู่
นายท้ายเลยเพิ่งรู้สึกตัวขนลุกซู่ จำได้แล้วว่านี่คือ
บ้านร้างผีดุของ "แม่พวย" คราวนี้เลยรีบสั่งคนเรือเร่งเครื่องแล่นหนีห่างจากสะพานชนิดไม่เหลียวหลังเลยทีเดียวและคืนต่อไปพอแล่นเข้าเขตบางปลาม้า
หากจวนจะถึงหน้าบ้านแม่พวยนายท้ายเรือทุกลำจะสั่งคนเรือเร่งเครื่องให้เร็วที่สุด หากว่าเห็นใครมาแกว่งตะเกียงเรียกให้จอดรับ
เป็นตายร้ายดียังไงก็จะไม่มีเรือลำไหนหยุดรับเด็ดขาด
เพราะกลัวจะเกิดเหตุซ้ำสองอีก
เรื่องของ "ผีแม่พวย" จึงถูกเล่าปากต่อปากเป็นที่ตื่นเต้น ปนขนหัวลุกเรื่อยมา
แหล่งที่มา:
เครดิต :
ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!