วิญญาณนางนาคเมืองสุพรรณ(ตอนจบ)
ความเฮี้ยนของ "ผีแม่พวย" นางนาคเมืองสุพรรณถูกเล่ากันปากต่อปาก
เป็นที่หวาดหวั่นพรั่นพรึงของคนพัง แต่ก็อยากจะฟังแม้มันจะตื่นเต้นชวนขนหัวลุกบ้างก็ตาม
เรื่องของความเฮี้ยนไม่เลิกรานี้ว่ากันว่าในครั้งนั้นไม่มีใครกล้าเฉียดกรายไปใกล้บ้านร้างนั้นเลยเพราะหลายคนที่เจอมาเล่าตรงกันว่า
เวลาเดินผ่านบ้านแม่พวยมักจะได้ยินเสียงผู้หญิงร้องไห้โหยหวน
อย่างน่าสงสารดังลอดมาจากภายในบ้านร้างนั้น คล้ายกำลังร้องเรียกหาลูกและสามีที่ทอดทิ้งไปอยู่ไกล
กิตติศัพท์ของผีแม่พวยที่บ้านร้างยังปรากฏให้คนเห็นอยู่เนืองๆมีเรื่องเล่าถึงแม่ค้าพายเรือขายขนมหวานอยู่คนหนึ่ง
ซึ่งแกเพิ่งมาอยู่ที่บางปลาม้าใหม่ๆก็ยังไม่ร็ถึงกิตติศัพท์ความเฮี้ยน
ของผีแม่พวยที่บ้านร้าง ทุกวันป้าแกก็พายเรือผ่านบ้าแม่พวยเพื่อไปขายขนม พอตกค่ำก็พายเรือกลับบ้าน
วันหนึ่งขณะพายเรือมาใกล้สะพานท่าน้ำบ้านแม่พวยแกก็เห็นผู้หญิงผมยาวผิวขาวท้องแก่ มายืนกวักมือเรียกที่หัวสะพานเพื่อซื้อขนม
แกก็ดีใจรีบเอาเรือเข้าไปเทียบ ถามว่า
"จะรับขนมอะไรจ้ะ" ผู้หญิงคนนั้นก็ว่า "มีอะไรก็ห่อมาเถอะ ฉันไม่ได้กินขนมหวานมานานแล้ว" แม่ค้าขนมก็จัดแจงห่อขนมให้
แล้วยังได้ยินเสียงผู้หญิงคนนั้นบอกอีกว่า "วางขนมไว้ที่ชันบันไดนั่นแหล่ะ เดี๋ยวจะลงไปเอา
"ป้าแม่ค้าขนมหันไปห่อขนมเรียบร้อยจัดวางเรียบ
ไว้บนชั้นบันไดเสร็จจึงเงยหน้ามอง แต่กลับไม่เห็นมีใครอยู่บนหัวสะพาน แกก็ตะโกนเรียกให้มาเอาขนมแต่ก็เงียบ
ผิดสังเกตเข้าแกจึงขึ้นบันไดไปดู พอเห็นสภาพบริเวณบ้านแกก็รู้สึกชาวูบไปทั้งตัว เพราะบ้านหลังใหญ่นั้นส่อว่าเป็นบ้านร้างที่ไม่มีคนอยู่มานาน
มีหญ้าขึ้นรกแน่นขนัดบิดทางเดิน แล้วผู้หญิงท้องแก่
ที่มายืนเรียกอยู่ที่ท่าน้ำนั้นจะอยู่ได้อย่างไร แล้วไม่รู้ว่าจู่ๆหายไปไหน คิดได้แล้วก็ขนหัวลุกตั้งรีบลนลานลงบันได
จ้ำผีพายอ้าว ทิ้งขนมหวานซึ่งห่ออย่างเรียบร้อยไว้ตรงนั้น
ผีแม่พวยยังเที่ยวหลอกหลอนผู้คนไปทั่วจนบางรายถึงกับจับไข้หัวโกร๋นชาวบ้านจึงชักจะทนไม่ไหว
ปรึกษาหารือกันว่าต้องหาใครมาจัดการให้วิญญาณสงบ
ไม่เช่นนั้นคงต้องมีใครตายกันบ้าง ดังนั้นชาวบ้านบางปลาม้ากลุ่มหนึ่งจึงพากันไปหาหลวงปู่ไข่ วัดบางเลนซึ่งเป็นเกจิอาจารย์ทางไสยเวทย์
ผู้เก่งกาจรูปหนึ่งมาปราบ แต่หลวงปู่ไข่ไม่รับนิมนต์ ท่านบอกว่า "ผีก็อยู่ส่วนผี คนก็อยู่ส่วนคน ในเมื่อคนไปรุกรานถึงบ้านเขา
แล้วยังจะให้อาตมาไปราบอึกมันถูกต้องแล้วรึ
ถ้ามีคนมาไล่พวกโยมออกจากบ้านบ้าง โยมจะรู้สึกอย่างไรล่ะ"
ชาวบ้านจึงต้องลาหลวงปู่ไข่กลับเพราะจนปัญญาที่จะตอบจึงปล่อยให้ผีแม่พวยปรากฏตัวแสดงฤทธิ์ต่างๆนานาต่อไป
จนข่าวดังขนาดหนังสือพิมพ์บางกอกไทม์สมัยนั้นต้องส่งนักข่าวมาทำข่าว ทั้งยังชาวบ้านต่างจังหวัดไกลๆถึงกับดั้นด้นเดินทางมาดูบ้านร้างผีสิงกัน
อยู่เสมอๆความดังของผีแม่พวยล่วงรู้ไปถึงหูสามี
ของแม่พวยที่สมุทรสาคร จึงคิดที่จะขายบ้านร้างหลังนี้ในราคาถูกๆให้กับคหบดีคนหนึ่งเพื่อที่เรื่องวุ่นๆจะได้ยุติเสียที
ซึ่งคหบดีรายนี้ก็สนใจแต่ขอดูบ้านก่อน คหบดีจึงเดินทางมาที่บ้านร้างพร้อมลูกน้อง
ระหว่างที่กำลังเดินสำรวจอยู่บนบ้านกลางวันเสกๆคหบดี
กับลูกน้องก็ถึงกับตกตะลึงตัวแข็งทื่อเพราะรู้สึกว่าเรือนโยกทั้งหลังเหมือนเกิดแผ่นดินไหว พร้อมกับได้ยินเสียงผู้หญิงร้องครวญคราง
คล้ายว่ากำลังได้รับความเจ็บปวดสาหัส เสียงดังออกมาจากที่ปิดประตูใส่กุญแจและมีฝุ่นละออหยากไย่จับเต็บไปหมด
เจอกับเหตุการณ์เช่นนี้ทั้งคหบดีและลูกน้องจึงต้องวิ่งกลับมาอย่างไม่คิดชีวิต
รีบลงเรือกลับอย่างรวดเร็วและไม่หวนกลับไปอีกเลย บ้านแม่พวยจึงถูกปล่อยให้ทิ้งร้างลงไปอีกกว่า 10 ปี
จนกระทั่งลูกชายคนโตของแม่พวยโตขึ้นจึงได้กลับมาดูบ้านเนก่าของแม่ซึ่งลูกปล่อยทิ้งร้างให้ทรุดโทรมอย่างน่าสังเวช
เมื่อเห็นแล้วจึงตัดสินใจรื้อไปถวายวัดบ้านด่าน
เพื่อให้พระนำไปสร้างกุฏิแล้วอุทิศกุศลนี้ให้แก่แม่พวยและตายายผู้ล่วงลับไปแล้ว
ปัจจุบันเรือนร้างของแม่พวยหลังนั้นถูกสร้างขึ้นเป็นกุฏิหลังหนึ่งสำหรับพระภิกษุจำพรรษา ที่วัดบ้านด่าน
วัดเล็กๆในอำเภอบางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี และหลังจากถวายบ้านร้างให้วัดแล้ววิญญาณแม่พวยก็ไม่เคยปรากฏหลอกหลอนใครอีกเลย
จึงคิดว่าแม่พวยคงจะได้รับกุศลผลบุญที่ลูกชายอุทิศให้
ไปอยู่ในภาพภูมิที่ดีแล้วก็ได้ สำหรับกุฏิที่สร้างจากเรือนร้างของแม่พวยนั้นปัจจุบันถูกปิดตายเพราะไม่มีพระสงฆ์เข้าไปอยู่
บรรยากาศจึงดูเงียบเหงาวังเวง และอาจจะเป็นเพราะกลิ่นไอแห่งอาถรรพณ์ในอดีตที่ยังคงหลงเหลืออยู่เลยทำให้พระในวัดขยาด
ไม่กล้าที่จะเข้าไปอยู่ในเรือนหลังนั้นก็เป็นได้
การที่วิญญาณของ "แม่พวย" ยังคงวนเวียนยึดติดอยู่กับโลกมนุษย์โดยไม่ยอมไปสู่ที่ชอบหรือสถานที่ที่เหมาะสมกับเวรกรรมของตนนั้น
อาจเป็นเพราะว่ามีวิบากกรรมที่ทำให้สลัดกิเลสไม่หลุดคือยังปลงไม่ตกกับคนข้างหลัง ยังห่วงใยทั้งลูกและสามี
จึงต้องใช้หนี้กรรมให้เบาบางลง ความยึดติดถึงหมดไป
เรื่องวิญญาณที่ยังคงวนเวียนปรากฏร่างให้คนเห็นนี้ยังคงมีเรื่องเล่าอีกที่วัดบางซอ อ.สองพี่น้อง จ.สุพรรณบุรี
เป็นวิญญาณของหญิงสาวและเด็กที่เสียชีวิตจากเรือล่มจนจมน้ำหายไปแล้วมาปรากฏตัวเป็นรูปร่างชัดเจนให้คนรักซึ่งบวชเป็นพระที่วัดบางซอนี้เห็น
และไม่ใช่เห็นแค่พระรูปนั้นรูปเดียวแต่เด็กวัด
พระและเณรหลายๆรูปก็เห็นกันหมด โดยวิญญาณตนนี้มาปรากฏร่างและก้มหน้านิ่งอยู่พักใหญ่แล้วจู่ๆก็หายวับไปต่อหน้าต่อตา
นอกจากนั้นแล้วในบางคืนเมื่อพระ เณรจำวัดกันหมดแล้วก็จะได้ยินเสียงคนเดินไปเดินมาอยู่ใต้ถุนกุฏิ
บางครั้งก็ใช้ไม้เคาะกุฏิหลังโน้นหลังนี้เล่น
ทำเอาทั้งพระทั้งเณรไม่ได้หลับไม่ได้นอนเพราะมีวิญญาณของผีสาวมาหลอกหลอน ชาวบ้านเล่าว่าผีสาวตนนี้พอหลอกพระในวัด
ได้สักพักก็คงจะเบื่อเลยไปหลอกคนนอกวัดบ้าง โดยวันดีคืนดีในยามดึกถ้าใครพายเรือผ่านหน้าวัดก็จะเห็นผู้หญิงกับเด็กกระโดดน้ำเล่นเป็นที่สนุกสนาน
แล้วชั่วพริบตาก็จะหายวับไป
ทำเอาชาวบ้านที่ใช้เส้นทางสัญจรไปมายามดึกประสาทผวากันเป็นแถว
มีการเล่าต่อๆกันมาว่าต่อมาพระที่เป็นอดีตคนรักของผีสาวตนนั้นท่านได้บวชต่อโดยไม่สึกและได้ย้ายหนีไปจำพรรษาอยู่ที่วัดแถวๆ จ.นนทบุรีแล้ว
เรื่อง "ผี" ที่เล่ามาทั้งหมดเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง
ของผู้ที่เคยสัมผัสจนเป็นเรื่องที่ถูกเล่าต่อๆกันมา โดยสถานที่เกิดเหตุก็ยังมีอยู่จึงพอจะเป็นสิ่งยืนยันได้ว่า "วิญญาณ...แม้จะเป็นเรื่องเร้นลับ แต่ก็มีอยู่จริงแน่นอน"
แหล่งที่มา:
เครดิต :
ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!