แรงอธิษฐาน
เมื่อก่อนนี้ฉันไม่เคยเชื่อเลยว่าในโลกนี้ยังมีเรื่องลี้ลับ
อยู่อีกมากมายที่เรายังไม่เคยรู้ เคยเห็น
เวลาไปตามสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ
ฉันมักจะเห็นผู้คนมากมายต่างพากันมากราบไหว้บนบานขอโน่น ขอนี่ จากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่ละคนก็มีความประสงค์ที่แตกต่างหลากหลายกันออกไป
แต่ไม่ใช่ว่าทุกคนจะได้สิ่งที่ขอเสมอไป หลายๆ ท่านคงแปลกใจ
และมีคำถามเหมือนกับฉันว่า...
ทำไมคนบางคนมาบนบานแล้วเขาก็สมหวัง? เพราะที่เห็นนำของมาแก้บนก็มีอยู่บ้าง แสดงว่าเขาได้ในสิ่งที่เขาต้องการ เขาจึงมาแก้บน
แล้วพวกที่ไม่มาแก้บนล่ะไปไหนกันหมด หรือว่าพอไม่สมหวังก็ไม่กลับมาแก้บน ทำให้สงสัยว่า...
พวกที่สมหวังนั้นเกิดขึ้นเพราะความบังเอิญหรือเปล่า...
สิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริงแน่หรือ เพราะถ้ามีจริงทุกคนก็น่าจะสมหวังกันทุกคน นี่เป็นความเข้าใจของฉันเมื่อก่อนนี้
ฉันเกิดมาในยุคที่ความเจริญทางเทคโนโลยีเข้ามาครอบครอง ทำให้ไม่เคยนึกเชื่อเรื่องเหล่านี้สักเท่าไหร่ ไม่ถึงกับไม่เชื่อเลย
คืออาจจะเชื่ออยู่บ้าง...ถ้ามีใครมาพิสูจน์ให้เห็นกับตา
หรือมีสิ่งแปลกประหลาดเหลือเชื่อเกิดขึ้นกับตัวเอง แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่เคยเจอ
เรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เรื่องไสยศาสตร์ เวทย์มนต์ คาถา ฯลฯ สำหรับฉันนั้นเมื่อไม่เชื่อก็ไม่เคยลบหลู่ ใครมาเล่าอะไรก็ฟังเขา
หรือ ผู้ใหญ่บอกให้กราบก็กราบ ให้จุดธูปจุดเทียนก็จุด ประมาณว่าเป็นคนว่านอนสอนง่าย แต่ใจคิดว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเพียงสิ่งสมมุติ
เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจให้เราเป็นคนดี เกรงกลัวบาป ไม่กล้าทำชั่ว
แต่แล้ววันหนึ่ง ชีวิตฉันก็ต้องประสบกับสิ่งที่ทำให้เปลี่ยนความคิดใหม่ จากที่บอกว่าไม่เชื่อว่าสิ่งเหล่านั้นจะมีจริง กลับเชื่อโดยไม่มีสิ่งเคลือบแคลงอีกต่อไป...
ความจริงสิ่งเหล่านี้ได้เข้ามาในชีวิตฉันตั้งแต่เด็กๆ โดยที่ฉันไม่ทราบมาก่อน และสร้างความขัดแย้งในทางความคิดของฉันมาตลอดเวลา
แต่เรื่องที่ฉันจะเล่านั้นเป็นเรื่องของแรงอธิษฐาน
ซึ่งฉันจะรู้ก่อนหน้าเสมอว่า บางเรื่องถ้าขอแล้วจะได้ แต่บางเรื่องยังไม่ทันอธิษฐานก็รู้แล้วว่ายังไรก็ไม่มีทางได้
คือฟันธงไปเลยว่าเรื่องนี้ขอไปก็ไม่สำเร็จอย่างแน่นอน ก็จะไม่พยายามขอ
มีอยู่เรื่องหนึ่ง เมื่อประมาณเกือบสิบปีที่ผ่านมา หลังจากที่ฉันแต่งงานแล้ว ฉันกับสามีก็รอคอยที่จะมีลูก
แต่รอมานานหลายปีก็ไม่ยอมมีสักที ทั้งๆ ที่สุขภาพร่างกายก็แข็งแรงดีด้วยกัน
ทั้งคู่ ความอยากมีลูกมากทำให้เราซึ่งต่างก็ไม่เชื่อเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์กันเลย ต้องเปลี่ยนข้อมูลในสมองใหม่ หันมายึดถือสิ่งที่เรามองไม่เห็น
พิสูจน์ไม่ได้ เราสองคนจึงออกตระเวณไปทำบุญตามวัด ตามสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ จะขึ้นเขาลงห้วยที่ไหน ใครว่าดีอย่างไรก็ไปมาหมด ไปมาทุกจังหวัด
ไปถึงก็กราบขอลูกจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่ก็ไม่กล้าบนบานศาลกล่าว...ผลก็คือ...ไม่สำเร็จ
สุดท้ายก็ต้องยอมทำใจว่าชาตินี้เราคงจะไม่มีลูกแน่
บังเอิญที่บ้านเรามีโต๊ะหมู่บูชา เจ้าแม่กวนอิม อยู่ ซึ่งคุณแม่ฉันท่านกราบไหว้อยู่ทุกวันวันหนึ่งฉันก็เกิดไอเดียปิ๊งขึ้นมา...
เรายังไม่เคยขอลูกกับเจ้าแม่กวนอิมเลย ลองดูก็ดีเหมือนกัน คราวนี้ถ้าไม่ได้ก็จะไม่ขวนขวายมีลูกกับเขาแล้ว ก็นึกอยู่นานว่าจะทำอย่างไรดี
เพราะทราบมาว่าถ้าใครบูชาเจ้าแม่กวนอิม ต้องงดรับประทานเนื้อ
ความที่แต่ไหนแต่ไรมา เราทั้งคู่ชอบทานก๋วยเตี๋ยวเนื้อวัวกันมาก แต่ก็นึกอยู่ในใจคนเดียวว่า คงไม่เป็นไรลองขอดู
ถ้าได้ก็ค่อยว่ากัน ฉันก็ไปนั่งต่อหน้าหิ้งบูชาท่าน แล้วอธิษฐานว่า...
"ลูกขอเจ้าแม่กวนอิมโปรดเมตตา หากบุญกุศลทั้งหลายทั้งปวงที่ลูกได้สร้างสั่งสมมาทั้งในอดีตชาติ ปัจจุบันชาตินั้นมีจริง
ลูกขอน้อมถวายพระพรท่านด้วยบุญกุศลทั้งหมดที่ลูกได้สร้างมา
ขอเมตตาประทานลูก จะเป็นหญิงหรือชายก็ได้ สักคนหนึ่งด้วยเถิด หากได้ลูกสมปรารถนา ตัวลูกและสามีจะขอเลิกรับประทานเนื้อวัว
ถวายเป็นมหากุศลแด่เจ้าแม่กวนอิมตลอดชั่วชีวิต"
ตอนนั้นคิดว่าพิสูจน์ให้รู้ดำรู้แดงกันไปเลยว่าท่านมีจริง ไม่ใช่แค่รูปปั้นตั้งอยู่บนหิ้ง
อธิษฐานเสร็จ ปักธูป แล้วก็แปลกใจ...คิดได้ไง คำอธิษฐานแบบนั้น
ตัวเองเลิกกินเนื้อวัวคนเดียวน่ะพอได้ แต่เผลอพ่วงเอาสามีเข้าไปด้วย แล้วนี่ถ้าเกิดฟลุ๊คมีลูกขึ้นมาจริงๆ จะทำไงดี เพราะสามีนั้น
เรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ปาฏิหาริย์ อะไรนี่เขาต้องไม่เชื่อยกกำลังอย่างเก่งก็แค่ยกมือไหว้ ปักธูป เคารพ ไม่ลบหลู่ แต่ความเชื่อนี่ เซย์โน ได้ทันที
ปัญหาของฉันตอนนั้นคือ ถ้าคำอธิษฐานเป็นจริง จะบอกให้สามีเลิกทานเนื้อ
ซึ่งเป็นของโปรดของเขาคงไม่สำเร็จเป็นแน่ เขาจะต้องหาว่าฉันงมงาย และถ้าเขาไม่ยอมเลิกทาน ก็เท่ากับเราผิดคำปฏิญานต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์
ซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับครอบครัวเราในวันข้างหน้า
จากนั้นก็เกิดความกังวลในใจอยู่คนตลอดมา ชะรอยเจ้าแม่กวนอิมท่านจะทรงรับรู้ความทุกข์ใจ กังวลใจของฉัน
เพราะหลังจากสามเดือนผ่านไปท่านก็ทำให้ทุกอย่างคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น
เรื่องมีอยู่ว่า...สามี ซึ่งขณะนั้นรับราชการอยู่ที่จังหวัดพิษณุโลก โทรมาหาตอนเที่ยงคืน เสียงอิดโรยมาว่า...
"ไม่รู้เป็นอะไรวันนี้อาเจียนตั้งแต่สองทุ่ม พอล้มตัวลงนอนก็ต้องลุกขึ้นมาอาเจียน จนเจ็บท้องไปหมด ทานยาอะไรก็ไม่อยู่"
ฉันถามเขาว่า... "ไปทานอาหารผิดสำแดง หรือ สกปรกมีเชื่อโรคเข้าละซี"
ก็ได้รับคำตอบว่า เขาทานก๋วยเตี๋ยวเนื้อวัวเจ้าเก่า...ก็ร้านที่เคยทานประจำนั่นแหละ ทุกทีทานก็ไม่เห็นเป็นไร
โอ.เค. จบ...ฉันบอก พรุ่งนี้ลองเปลี่ยนร้านอาหารดูแล้วกัน เผื่อจะดีขึ้น ตอบไปตอนนั้นใจก็ไม่ได้คิดอะไร
เพราะลืมไปแล้วว่าเคยอธิษฐานกับเจ้าแม่กวนอิมไปแล้วด้วยซ้ำ
อีกสองวันต่อมา...เขาโทรมาอีก คราวนี้เปลี่ยนไปทานลูกชิ้นเนื้อวัวปิ้ง ทานแล้วก็อาเจียนเหมือนเดิม นอนเจ็บท้องตลอดทั้งคืน
วันต่อมาไม่มีอาการใดๆ ก็ได้ใจ กลับไปทานก๋วยเตี๋ยวเนื้อวัวอีก แต่คราวนี้เปลี่ยนเจ้าใหม่ ก็อาเจียนอีก เขาโทรมาเล่าอาการแล้วก็พูดเองเลยว่า...
"สงสัยเห็นทีพี่คงต้องเลิกกินเนื้อวัวซะแล้ว ไม่กล้ากินแล้ว
เพราะกินทีไรอาเจียนทรมานทั้งคืน"
พอสามีพูดจบ พลันฉันก็นึกถึงคำอธิษฐานที่หลั่งไหลเข้ามาในสมองอย่างกระทันหัน
...หรือว่า...เป็น...ปาฏิหารย์ของเจ้าแม่ !
แต่จนแล้วจนรอดฉันก็ยังไม่เชื่อ จนกว่าจะพิสูจน์ให้แน่ใจมากไปกว่านี้
หลังจากนั้นประมาณหนึ่งสัปดาห์ต่อมา คืนหนึ่งฉันก็ฝัน...
ในนิมิตฝัน ฉันเห็นเป็นผู้หญิงใส่ชุดสีขาว คลุมตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า นั่งมาในดอกบัวสีขาว ลอยจากฟ้าลงมาอยู่ตรงหน้าฉัน...ในนิมิตฝัน
ขณะนั้นฉันนั่งคุกเข่าลงกราบ ในใจก็นึกว่าผู้หญิงคนนี้หน้าตาช่างงดงามหาหญิงใดในโลกเทียบได้
ฉันถามไปว่า..."ท่านคือเจ้าแม่กวนอิมใช่หรือไม่"
ในนิมิตฉันถาม แต่เป็นการถามในจิตไม่ได้อ้าปากพูด ท่านไม่ตอบ ได้แต่ยิ้มให้
ใบหน้าท่านเต็มเปี่ยมไปด้วยเมตตา จากนั้นดอกบัวก็ค่อยๆ ลอยขึ้นไป แล้วก็หายไปในที่สุด...
ตื่นขึ้นมาฉันก็เล่าความฝันให้สมาชิกในบ้านฟัง
ทุกคนก็เสนอแนะว่าให้ลองไปหาหมอตรวจดูเผื่อว่าจะเกิดปาฏิหารย์ตั้งท้องขึ้นมาก็ได้
ฉันเองก็ไม่รอช้า วันนั้นรีบไปหาหมอที่โรงพยาบาลทันที ปรากฏว่าหมอตรวจพบว่า...
ฉันตั้งครรภ์ได้เดือนเศษๆ !
หลังจากนั้นฉันจึงตัดสินใจเล่าเรื่องที่ฉันอธิษฐานขอลูกกับเจ้าแม่ให้สามีฟัง
ถึงเรื่องหนักใจมาตลอด แล้วในที่สุดปาฏิหารย์เจ้าแม่กวนอิมก็สำแดงทุกอย่างออกมาให้เห็นจนหมด เนับแต่นั้นมา
สามีและฉันก็ได้เคารพสักการะเจ้าแม่แต่เพียงองค์เดียว เราสองคนเลิกทานเนื้ออย่างเด็ดขาด อย่าว่าแต่ทานเลย
แค่ได้กลิ่นเนื้อวัวก็แทบสำลักจะอาเจียนเสียให้ได้
ครอบครัวเราได้ลูกสาวในเวลาต่อมา ตอนนี้อายุได้ 2 ขวบกว่าแล้ว อยู่ในวัยที่เริ่มพูด และมีหลายสิ่งที่ลูกสาวทำให้เราทึ่งอยู่เสมอๆ
อย่างวันหนึ่งเขาวิ่งเล่นอยู่หน้าหิ้งบูชาเจ้าแม่ฯ ฉันจำได้แม่ ลูกพูดว่า...
"หนูไม่ใช่ลูกคุณพ่อคุณแม่"ตาจ้องรูปปั้นท่านไม่กะพริบ
คุณป้าก็หยอกหลานว่า... "อ้าว ไม่ใช่ลูกคุณพ่อคุณแม่แล้วเป็นลูกใครล่ะ
หนูมาจากกระบอกไม้ไผ่เหรอ"
ลูกสาวชี้มือไปที่รูปปั้นเจ้าแม่ฯ ชี้มือไปบอกว่า "หนูเป็นลูกเจ้าแม่องค์นี้แหละ"แล้วก็วิ่งเล่นตามเดิมเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ฉันมานั่งขบคิดอยู่คนเดียวว่า เป็นไปไม่ได้แน่ๆ ที่เด็กวัยขนาดนี้จะมีความสามารถพูดคำว่า "เจ้าแม่องค์นี้"ได้อย่างถูกต้อง
ทั้งๆ ที่ไม่เคยมีใครเรียกให้ได้ยิน หรือสอนให้พูดเลย
และฉันไม่อยากเชื่อว่าจะเป็นเรื่องที่เกิดจากการบังเอิญ
จากการที่ได้ประมวลเรื่องที่ผ่านมาตั้งแต่เด็ก จนมาถึงเรื่องคำอธิษฐานที่เป็นจริงที่เล่ามานี้ ฉันเชื่ออย่างไม่มีสิ่งเคลือบแคลงอีกต่อไปแล้วว่า...
สิ่งลี้ลับในโลกนี้มีจริง!
ใครก็ตามที่คิดว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นเรื่องสมมุติ เป็นนิทานที่ผู้ใหญ่เล่าให้คนรุ่นหลังฟังเพื่อให้เกิดความเกรงกลังต่อการทำบาป
ฉันอยากให้ประสบการณ์ที่ฉันพบมากับตัวเป็นคำยืนยันว่าสิ่งเหล่านี้มีจริง เพียงแต่ท่านพร้อมที่จะเปิดใจรับหรือเปล่า
และท่านเป็นประกอบกรรมดีเพียงพอจะได้มีโอกาสสัมผัสหรือไม่
สำหรับฉัน เมื่อชีวิตฉันพบเหตุการณ์เหล่านี้ ทำให้ฉันมีสติมากขึ้น ใช้วิจารญาณพิจารณาโดยตัดคำว่างมงายออกไป และเชื่อว่า
ทุกอย่างที่เกิดขึ้นแม้จับต้องตามกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ไม่ได้ แต่สามารถจะพิสูจน์ได้ด้วยกระบวนการฝึกจิต ทุกวันนี้ฉันยึดถือปฏิบัติสมาธิจนจิตสงบนิ่ง
เจริญกรรมฐานวิปัสสนา จนได้คำตอบที่กระจ่าง
ความลี้ลับนั้นจะไม่ลี้ลับต่อไปและสัมผัสได้ ถ้าหากเรามีความตั้งใจ อดทน สร้างสมบุญ สร้างสมความดี และ
ฝึกปฏิบัติด้วยตัวเอง นี่เป็นเรื่องจริงที่มีเหตุผลเชื่อโยงกันโดยปราศจากคำว่า...งมงาย...
แหล่งที่มา:
เครดิต :
ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!