คืนปล่อยผี...


คืนปล่อยผี...

โศกนาฏกรรมครั้งนั้นแม้ว่าจะล่วงเลยมานานถึง ๔๐ ปี แล้วก็ตาม



แต่ผมก็ยังจดจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และผมได้ประสบมาด้วยตัวเอง

อย่างไม่มีวันลืมเลือนได้ ความสยดสยอง การสูญเสีย ความเฮี้ยน ซึ่งบังเกิดขึ้นตามกันมา ตามผมมาซิครับ ผมจะเล่าให้ท่านฟัง



ในปี ๒๕๐๖ ที่ผ่านมา ได้เกิดโศกนาฏกรรมขึ้นบนถนนใหญ่



นอกเขตตัวจังหวัด ได้มีรถเมล์โดยสารบรรทุกนักเรียนมัธยมของโรงเรียนที่มีชื่อแห่งหนึ่งของจังหวัด ไปทัศนศึกษาต่างจังหวัด

ขากลับรถเมล์ได้วิ่งมาเกือบเข้าตัวจังหวัดแล้ว ฉับพลัน.... มีรถดั๊มพ์ ๖ ล้อ บรรทุกหิน ได้วิ่งสวนทางมาด้วยความเร็ว และโดยไม่คาดฝัน


ทั้งรถเมล์โดยสาร และรถดั๊มพ์ได้พุ่งเข้าชนกันอย่างจัง



ผลที่ออกมาคือ รถเมล์โดยสารที่บรรทุกนักเรียนมานั้น ถึงกับหมุนคว้างกลางถนน และพลิกลงไปข้างถนนใหญ่ ไกลจากชุมชนมากพอดู

ส่วนรถดั๊มพ์นั้นก็ขวางถนน หินก้อนใหญ่ตกกระจายเกลื่อน เท่าที่ทราบคือ นักเรียนหญิงตายคาที่ ๘ ศพ นอกนั้นอาการร่อแร่ทั้งสิ้น


ซึ่งขณะนั้นยังไม่มีรถมูลนิธิ กว่าที่เจ้าหน้าที่จะรู้ก็กินเวลาไปนานพอดู



กว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจจะไปถึงที่เกิดเหตุ ลำเลียงผู้ป่วยส่งโรงพยาบาล นำศพมาฝากไว้ที่วัด ซึ่งอยู่ใกล้บ้านที่ผมพักเสียด้วย

บังเอิญตอนหัวค่ำวันนั้น ผมเพิ่งกลับมาจากไปธุระต่างอำเภอ พอกลับมาถึงบ้าน แม่จึงบอกกับผมว่า มีรถเมล์โดยสารบรรทุกนักเรียนชนกับรถบรรทุกหิน



และมีนักเรียนตาย เขาเอาศพมาฝากไว้ที่วัดนี้



ผมก็ไม่ได้สังหรณ์หรือระแวงอะไร เพราะผมจะต้องรีบเอารถสามล้อออกไปถีบหาลำไพ่ในตอนกลางคืน (กลางวันผมทำงานช่างก่อสร้าง)

ขณะนั้นรถสามล้อยังใช้ตะเกียงน้ำมันก๊าด ติดไว้สองข้างรถเป็นไฟส่องทาง ผมถีบสามล้อรับผู้โดยสารอยู่ ๖ เที่ยว ก็คิดว่าขออีกสัก ๒ เที่ยว


ก็จะกลับบ้านนอนแล้ว เพราะเช้าจะต้องไปทำงานอีก



จนถึงเวลาสามทุ่มเศษ ผมได้รับญาติผู้ป่วยที่มาซื้อของที่ตลาดไปส่งโรงพยาบาล ส่งเสร็จผมก็ถีบรถกลับจะเข้ามาในตลาด

เพื่อขออีกสักเที่ยวเดี๋ยวก็จะกลับบ้าน ขณะที่ผมถีบรถออกมาพ้นหน้าโรงพยาบาล พลันก็มีเสียงเรียกรถสามล้อ ผมรีบเบรก แล้วหันไปมองข้างทาง


ที่โคนต้นหูกวางอันมืดสลัวนั้น มีร่างของนักเรียนสาววัยรุ่น



(เพราะเธอทั้งสองแต่งเครื่องแบบนักเรียนด้วย) ยืนอยู่ ๒ คน กำลังกวักมือเรียกให้ผมแวะเข้าไปรับ ผมเลี้ยวรถเข้าไปจอดใกล้เธอทั้งสอง แล้วถามเธอว่า

"น้องจะให้ไปส่งที่ไหนครับ"
"ปาย...ย....ย.....ส่งที่วัด..... จะปายเยี่ยมเพื่อน......"



อะไรกัน ไปเยี่ยมเพื่อนที่วัดในเวลากลางคืน แถมยังแต่งชุดนักเรียนด้วย



อ้อ... คงจะเป็นเพื่อนนักเรียนด้วยกัน ซึ่งมาเยี่ยมคนป่วยแล้วก็จะไปเยี่ยมศพเพื่อนที่ตายก็ได้ ขณะที่ผมได้พาเธอทั้งสองมานั้น บังเอิญมีเพื่อนสามล้อด้วยกัน

ถีบรถสวนทางมา ร้องถามว่า
"เฮ้ย จะรีบกลับบ้านแล้วหรือวะ"


"ยังโว๊ย กำลังไปส่งผู้โดยสารที่วัด"



ผมตอบเขา และก็เห็นเขาเหลียวมามองทำหน้าชอบกล ผมจึงชำเลืองมองเธอทั้งสอง ก็เห็นว่ายังนั่งนิ่งตัวตรง ผมจึงหันกลับไปถีบรถต่อ

และก็มีความรู้สึกว่า รถที่ถีบอยู่นั้น บางครั้งก็เบา บางครั้งก็หนักอึ้ง ครั้นพอไปถึงหน้าวัด ผมก็จอดรถ และหันกลับมาบอกเธอว่าถึงแล้ว


เอ๊ะ..ผมมองเห็นเธอนั่งอยู่เพียงคนเดียว อ้าว..แล้วอีกคนหายไปไหน



ผมขนลุกซู่ วาบไปทั้งตัว สะดุ้งโหยง เมื่อมีเสียงพูดเย็น ๆ อยู่ข้าง ๆ
"มองหาหนูหรือจ๊ะ หนูยืนอยู่นี่ไงล่ะ ฮิ ฮิ ฮิ"

ผมหันขวับไปมอง ก็เห็นเธอยืนหัวเราะคิก ๆ อยู่ข้าง ๆ ผมนี่เอง อะไรกันวะ เธอทำไมถึงลงจากรถได้เร็วแบบนี้ ผมกวาดตามองรอบ ๆ บริเวณหน้าวัด


ก็เงียบเชียบ มีแต่ร่มไม้ขึ้นอยู่ทะมึนทั่วไป



"พี่ชาย....รอหนูอยู่ที่นี่เถอะนะ เดี๋ยวไปส่งที่โรงพยาบาลอีก"
แล้วร่างเธอทั้งสองก็เดินตัวตรง หายเข้าไปทางประตูหน้าวัด

เสียงหมาในวัดหอนกันเกรียว ทำให้จิตใจผมเริ่มเต้นแรง และความว้าเหว่เงียบเหงารอบกาย ชักจะทำให้ผมไม่อยากรอรับเธอทั้งสอง


ผมล้วงมือลงไปทางหลังเบาะพิง หยิบมีดพกออกมา



พลางดึงใบมีดออกจากฝัก เอาละวะ เอาไงก็เอากัน ผมเสียบมีดพกไว้ข้างเอว ถอนหายใจลึก ๆ ๒ - ๓ ครั้ง พลางเดินเข้าไปยืนมองดูภายในเขตวัด

ก็มองเห็นแต่ความว่างเปล่า และความมืดทะมึนของต้นไม้ สิ่งก่อสร้างในวัด เสียงหมาหอนกันเกรียวลึกเข้าไปทางป่าช้า ผมเดินไปที่จอดรถ


แล้วเดินเลยไปข้างถนน เพื่อจะฉี่สักหน่อย



พอฉี่เสร็จก็จะเดินมาที่รถจอดไว้ เฮ้ย นั่น บนรถสามล้อของผม บัดนี้มีร่างของนักเรียนนั่งรออยู่สองคนแล้ว เอ๊ะ เธอมาเมื่อไหร่ ไม่ยักได้ยินเสียง

ผมเดินเข้าไปที่รถ เสียงเธอในรถบอกว่า
"ปายส่งที่โรงพยาบาล เอ้า นี่เงินค่าโดยสาร และค่าที่รอด้วย พอหรือเปล่าจ๊ะ"



ผมเอื้อมมือไปรับเงินค่าโดยสาร ซึ่งเป็นแบ๊งค์ใบละ ๑๐ บาท รวม ๓ ใบ



ผมรีบนำรถออกจากที่หน้าวัด ถีบลิ่วตรงไปทางโรงพยาบาลทันที ขณะที่ถีบผ่านไปทางชายตลาด ก็เห็นเพื่อนที่ถีบสามล้อด้วยกัน ๓ - ๔ คน

กำลังนั่งดื่มเหล้ากันอยู่ข้างฟุตบาท เพื่อนพวกนั้นกวักมือเรียกให้ผมหยุดดื่มเหล้าก่อน ผมบอกว่า เดี๋ยวจะกลับมาแวะดื่มด้วย ขอไปส่งผู้โดยสารก่อน


พวกเพื่อนมันพากันหัวเราะครืน พลางตะโกนตามหลังผมมาว่า



"เฮ้ย...ไอ้นี่ถ้าจะบ้าแล้ว มันถีบรถเปล่า ๆ มันยังบอกว่ามีคนโดยสาร ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่ะ"
ผมแปลกใจในคำพูดของเพื่อน จึงหันกลับไปมองดูด้านหลัง เอ...

ก็เธอทั้งสองยังนั่งกันอยู่นี่นา แล้วทำไมเจ้าพวกนั้นมันจึงไม่เห็น ช่างมันเถอะ พวกมันอาจจะแกล้งพูดเล่นก็ได้ จนถีบมาถึงหน้าโรงพยาบาล


ก็ได้ยินเสียงบอกให้จอด ผมรีบเบรกทันที พอเธอทั้งสองลงจากรถ



พลันก็มีเพื่อนนักเรียนหญิงอีก ๓ คน เดินกันออกมาจากทางหน้าโรงพยาบาล แล้วเรียก สามล้อ ๆ ๆ รอเดี๋ยว และเมื่อนักเรียนทั้ง ๕ คน

กำลังยืนคุยกันอยู่ ผมคิดว่า ถ้าไม่รอก็จะต้องกลับรถเปล่า เอาวะ เที่ยวนี้ถ้าไปส่งที่หน้าวัด ก็จะเข้าบ้านเลย เพราะมันชักจะดึกมากแล้ว


และเมื่อเธอทั้งสามคนขึ้นมานั่งอัดกันบนรถแล้ว ก็หันไปถามพวกเธอว่า



"จะให้ไปส่งที่ไหนครับ"
"ไปส่งที่หน้าวัดจ้ะ แต่ไม่ต้องรอรับกลับหรอก"

เสียงพวกเธอคนหนึ่งตอบมา ทำให้ผมโล่งใจที่ไม่ต้องรอรับกลับ คงได้กลับเข้าบ้านแน่คราวนี้ ผมถีบรถผ่านพวกเพื่อน ๆ ไป พวกเขาก็เรียกกันอีก


ผมก็บอกว่า ไปส่งคนโดยสารก่อน พวกเขาก็หัวเราะครืนตามหลังมา



แต่พอถีบรถมามองเห็นหน้าวัด ผมก็มองไปเห็นเด็กนักเรียนหญิงอีก ๔ คน ยืนกันอยู่ที่ข้างประตูหน้าวัด ๑ ใน ๔ คนนั้น ถูกเพื่อนประคองเอาไว้

เพราะที่แขนข้างซ้ายของเธอ ปรากฎว่ามีเลือดไหลออกมาเรื่อย ๆ พอผมจอดรถ เธอทั้งสามก็ลงจากรถ และส่งเงินให้ผม ๓๐ บาท


ปกติระยะทางจากโรงพยาบาลถึงวัดนี้ คิดคนละ ๓ บาท เป็นอย่างมาก



โอ้.. คืนนี้เราช่างมีรายได้งามเหลือเกิน
แต่พอผมจะจูงรถออกถีบกลับบ้าน ทันทีนั้น พวกนักเรียนที่ยืนอยู่ ๔ คน

ก็พากันมายืนกั้นอยู่ที่หน้ารถ และเธอคนหนึ่งก็ยกมือไหว้ผม พร้อมกับพูดว่า
"หนูไหว้ล่ะพี่ชาย ช่วยรับคนเจ็บกลับไปทำแผลที่โรงพยาบาลอีกครั้งเถอะนะ


เพราะเมื่อครู่นี้เธอหกล้ม แผลที่เย็บไว้ใหม่ ๆ



จึงแตกปริออกมาอีก เอ้า หนิง ขึ้นไปนั่งบนรถ"
เธอพูดยังไม่ทันจบ คนบาดเจ็บกับเพื่อนอีกคนก็ขึ้นมานั่งอยู่บนรถเสียแล้ว

ผมเองก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรถูก และก็นึกสงสารคนเจ็บที่นั่งครางเพราะเจ็บแผล เอาวะ ไปอีกเที่ยว ก็คงจะไม่เสียหายหรอก เพราะพวกเธอให้ค่าโดยสารที่ดีออก


คราวนี้ผมไม่เจอเพื่อนที่นั่งดื่มเหล้ากันเลย ผมถีบรถมาได้ครู่หนึ่ง



ก็สวนทางกับพวกสามล้ออีกคัน คนถีบสามล้อคันนั้น ได้ตะโกนถามผมว่า
"เฮ้ย ลื้อปั่นสามล้อเปล่า ๆ จะรีบไปรับใครวะ"

ผมชำเลืองไปมองดูนักเรียนหญิง ๒ คน ที่นั่งรถผมมา ยังเห็นว่า เธอทั้งสองก็ยังนั่งกันอยู่เช่นเดิม ไอ้นี่ถ้าไม่เมาก็คงง่วงนอน จึงมองไม่เห็นคนนั่งรถมาด้วย


ผมคิดในใจ พลางถีบรถต่อไป สายตามองไปข้างทาง



แต่ก็อดชำเลืองไปที่สองนักเรียนสาว เฮ้ย.. ที่เบาะนั่งด้านหลังนั้นว่างเปล่า ผมเบรกรถลั่นถนน

ขยี้ตาตัวเอง แล้วหันขวับไปมองอีกครั้ง อ้าว..เธอทั้งสองยังนั่งอยู่บนรถนี่นา เธอคนหนึ่งถามผมว่า


"เอ๊ะ ยังไม่ถึงหน้าโรงพยาบาล หยุดทำไมล่ะ สามล้อ"



ผมแกล้งลงไปขยับหมุนโซ่กลับไปมา แล้วทำเป็นบ่นเสียงดัง ๆ ว่า
"เฮ้อ โซ่หย่อน เกรงว่าจะขาด"

แล้วผมก็จูงรถสามล้อออกจากที่ และขึ้นนั่งถีบต่อไป จนถีบมาถึงหน้าประตูทางเข้า ผมกำลังจะหันหน้ารถเลี้ยวเข้าหน้าประตูโรงพยาบาล พลัน ?"


"หยุดตรงนี้แหละ หยุดซิ..."



ผมก็เบรกหยุดรถทันใจเหมือนกัน เธอทั้งสองลงมาจากรถ ผมมองดูและช่วยจับรถไม่ให้เคลื่อนตัว ขณะนั้นผมก็แว่วเสียงคนวิ่งเข้ามาที่รถจอดอยู่

ผมหันกลับไปมองทางหน้าประตู ก็เห็นว่ามีนักเรียนสตรีพากันวิ่งเหยาะ ๆ เข้ามาที่รถ ๓ คน และพวกเธอก็พากันประคองเพื่อนหญิงที่บาดเจ็บ


พากันเดินไปที่ประตูทางเข้าโรงพยาบาล ซึ่งมีต้นไม้ที่ครึ้มพอควร



ผมจะมองตามไป ก็พอดี
"เอ้า สามล้อ กลับไปส่งที่หน้าวัดอีกครั้งนะจ๊ะ นี่ เงินค่าโดยสาร"

พูดจบ เธอก็ส่งแบ๊งค์ ๑๐ บาท ๓ ใบ มาให้ผม เอ๊ะ ? ทำไมพวกเธอจึงตั้งใจให้ค่าโดยสารกับผมเหมือนกันหมด ผมรับค่าโดยสารมาใส่กระเป๋า


แล้วพารถออกมาจากที่นั่น ตั้งใจแน่นอนแล้วว่า



คราวนี้ต้องกลับเข้าบ้าน จะไม่ยอมไปส่งใครอีกเด็ดขาด พอเบรกรถตรงหน้าวัด เธอก็บอกว่า

"พี่สามล้อจ๊ะ....ช่วยไปส่งหนูที่ศาลาตั้งศพเพื่อนด้วยนะจ๊ะ หนูเดินไปคนเดียว กลัวจ้ะ"



เอาละวะ เธอจะให้ผมเข้าไปส่งถึงศาลาตั้งศพ ซึ่งหนทางมันครึ้มน่าดู



จะไม่ไปหรือก็เกรงว่า เธอจะหาว่าผมเป็นคนขี้ขลาดตาขาว ผมจึงถีบรถช้า ๆ เข้าไปในบริเวณวัด มือข้างหนึ่งขยับด้ามมีดพกข้างเอว พอผ่านกุฏิพระ

ก็ยังเห็นว่า พระท่านยังจุดตะเกียงอยู่บ้าง จึงใจชื้นขึ้นมาอีกหน่อย แต่พอย่างเข้าเขตป่าช้า ขนบนศีรษะก็ขยายวูบขึ้นมาทันที


เมื่อสายตาของผมมองตรงไปเห็นว่า บนศาลาที่ตั้งศพเด็กนักเรียนสตรี



ทั้ง ๘ ศพนั้น มันมีตะเกียงหรือเทียน จุดอยู่ ๒ ดวง พอที่จะมองเห็นบนศาลาได้อย่างสลัว ๆ และบนนั้นมีร่างของนักเรียนหญิง ๓ คน นั่งคุยกันอยู่

ส่วนศพนั้นยังไม่ได้ใส่โลง คงวางไว้บนโต๊ะเตี้ย ๆ แต่ยาว นอนเรียงรายกันเป็นแถว มีผ้าขาวคลุมอยู่ พอไปเกือบถึงศาลา ผมก็เบรกรถ

เอี๊ยด...ด....ด.....

ฉับพลัน หญิงสาวทั้ง ๓ คน ที่นั่งกันอยู่นั้น ก็สะดุ้ง และผวาวาบเข้าไปที่โต๊ะวางศพอยู่ แล้วเธอทั้งสามก็ล้มตัวลงนอน คลุมผ้าขาวทันที

นั่นมันศพที่คลุมผ้าขาวไว้ ๗ ศพ แต่ ก็มีผ้าขาววางกองอยู่อีก ๑ ผืน เอ๊ะ ? แล้วอีกศพไปไหน ?

"เฮ้ย...ย....ย.... พวกเรา สำลี มาแล้ว

ลุกขึ้นมาทักทายพี่สามล้อกันหน่อยเร็ว ฮิ ฮิ ฮิ ฮิ ฮิ...."
ผมรีบหันขวับไปมองผู้โดยสารทันที คุณพระช่วยด้วยเถิด..?

จากแสงตะเกียงสามล้อ ผมมองเห็นร่างของเด็กสาวชุ่มโชกไปด้วยเลือดสด ๆ ถึงใบหน้าที่เปิดไปแถบหนึ่ง จนมองเห็นฟันเป็นซี่ ๆ ข้างแก้ม

และที่ดวงตาของเธอนั้น มีแต่เบ้าตา

ส่วนลูกนัยน์ตานั้นห้อยร่องแร่งไปมา ผมเองตอนนั้นบอกอาการไม่ถูกว่า ผมมีสภาพอย่างไร เพราะร่างทั้งร่างของผมมันพองเห่อขึ้นมาหมด

ขาทั้งสองข้างอ่อนทรุดลงไปคุกเข่ากับพื้นดิน ใจผมเต้นกระตุกอย่างแรง เหมือนกับว่า มันจะขาดผึงออกจากขั้ว เสียงเอะอะปนกับเสียงหัวเราะคิก ๆ

ดังขึ้นบนศาลา ผมหันไปมองเหมือนมีใครมาจับใบหน้าบิด

โอ้...บนศาลานั้น บัดนี้ ร่างที่นอนคลุมโปงทุกร่าง ต่างก็พากันลุกขึ้นนั่ง และกำลังจะลงมาจากโต๊ะ แต่ละร่างอาบไปด้วยเลือด ทันใด ?....

เจ้าพวกหมามันมาจากไหนก็ไม่ทราบ มันต่างพากันหอนอย่างโหยหวน จนผมหายจากตกตะลึง พวกเธอเหล่านั้นได้มายืนล้อมร่างผมไว้หมดแล้ว

เสียงครวญครางปนกับเสียงหัวเราะของพวกเธอ

มันดังชอนไชเข้าไปในประสาทของผม จนผมรู้สึกว่า เส้นสายภายในร่างของผมมันกระตุก สมองเย็นวูบ แล้วทุกอย่างก็สงบลง

ประสาทของผมไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น
ผมมารู้สึกตัว เมื่อได้ยินเสียงของผู้ชายหลายคนคุยกัน

ผมจึงค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมามองดู แต่ก็ยังงง ๆ อยู่บ้าง

ในลำคอแห้งผาก สิ่งที่ผมมองเห็นคือ พระสงฆ์ ๒ - ๓ รูป กับลุงผล สัปเหร่อในวัด พร้อมทั้งผู้ชายสูงอายุอีก ๓ คน นั่งอยู่ใกล้ ๆ ที่ผมนอนอยู่

ผมทำมือและปากขอน้ำดื่ม ลุงผลแกก็หยิบขันใส่น้ำส่งมาให้ผมดื่ม พร้อมกับพูดบอกผมว่า

"เอ้อ พ่อหนุ่ม เมื่อคืนนี้ เอ็งคงจะโดนพวกนักเรียนหญิง

ที่ตายเล่นงานเอาละซิ ข้าเพิ่งจะไปพบเอ็งนอนสลบอยู่ที่หน้าศาลาไว้ศพนั่นแหละ ข้าจึงวานให้พระและศิษย์วัด

ช่วยกันหามเอ็งมานอนที่กุฎิพระนี่แหละ นี่ก็บ่ายกว่าแล้ว เอ็งเพิ่งจะฟื้น เฮ้อ...พ้นเคราะห์ไปที"

ผมค่อย ๆ ลุกขึ้นมานั่ง ก็มองเห็นรถสามล้อของผม

ยังจอดอยู่ที่หน้ากุฏิพระ ผมล้วงมือลงไปในกระเป๋ากางเกง ปรากฎว่ามีแต่เหรียญหนึ่งบาท ซึ่งได้ค่าโดยสารเมื่อตอนหัวค่ำ

แต่แบ๊งค์ใบละ ๑๐ จำนวน ๙ ใบ ที่ได้จากนักเรียนหญิงหายไปไหนหมด ผมถามลุงผลดู แกหัวเราะ

"ไอ้หนุ่มเอ๊ย... เงินของผีก็ต้องเป็นเงินของผีนั่นแหละ

เมื่อวานนี้ข้าเห็นญาติของนักเรียนคนหนึ่ง เขาเอาแบ๊งค์ใบละสิบบาทสามใบ ใส่ไว้ในมือศพ เมื่อเช้าเข้าไปเปิดดูศพ ก็ยังเห็นเงินอยู่เลย"

เฮ้อ.... นี่ก็เป็นอันว่า ผมต้องเหนื่อยในการถีบรถเปล่า ๆ ไปกลับ ๕ เที่ยว แถมเงินที่ได้มาก็เป็นเงินของผีเสียด้วย

แถมท้ายด้วยการถูกผีหลอกเข้าอีก อย่างนี้จะไปโทษใครล่ะ ก็ต้องโทษความซวยของผมเองนั่นแหละ




แหล่งที่มา:


เครดิต :

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์