คืนขวัญหาย!?
"ดนุนันท์" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกในคืนฝังศพ
เรื่องภูตผีทำให้เกิดการขัดแย้ง โต้เถียงกันมาตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันด้วยปัญหาซ้ำๆ ซากๆ
นั่นคือ...ผีมีจริงหรือไม่? ต่างฝ่ายต่างมีเหตุผลมาสนับสนุนความเชื่อมั่นของตนกันทั้งนั้นแหละครับ
ที่ตลกคือ ฝ่ายที่ไม่เชื่อก็ท้าทายให้อีกฝ่ายหนึ่งพิสูจน์ว่าผีมีจริง
ส่วนฝ่ายที่เชื่อก็ท้ากลับให้พิสูจน์ว่าผีไม่มีจริง...ยังตัดสินไม่ได้ว่าใครถูกใครผิดมาจนถึงทุกวันนี้
ล่าสุด ในกลุ่มผู้ที่เชื่อว่าผีมีจริง ก็เกิดมีการโต้เถียงเรื่องผีๆ สางๆ ในประเด็นใหม่ขึ้นมาอีกแล้ว!
ที่ไหนผีดุที่สุด?
ตอนแรกก็ยกเอาสถานที่กว้างขวางมากๆ เช่น ในเมืองกับในป่า, ในทะเลกับแม่น้ำลำคลอง
ลงมาถึงในซอกซอยเปล่าเปลี่ยว กับถนนที่เกิดอุบัติเหตุบ่อยๆประเภทโค้งมรณะบ้าง สี่แยกร้อยศพบ้าง
ในที่สุด ก็มาเหลือชุมทางผีดุเพียง 2 แห่งเท่านั้น
คือ ในโรงพยาบาลกับในวัด! ว่าที่ไหนจะผีดุกว่ากัน?
คนที่เชื่อว่าในโรงพยาบาลเป็นชุมทางผีดุ วิญญาณเฮี้ยนมากกว่า เพราะมีคนเจ็บป่วยหลากหลาย
ไหนจะพวกที่ได้รับอุบัติเหตุจากรถราชนกันบ้าง พลิกคว่ำบ้าง ล้วนแต่แขนขาดขาขาด อย่างน้อยก็เลือดท่วมตัว
ถูกหามร่องแร่งมาหาหมอ เสียงร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวด
ดังระงมเกือบตลอดเวลา
ก่อนจะตายก็ร้องร่ำคร่ำครวญน่าเวทนานัก....
เมื่อสิ้นลมหายใจ วิญญาณก็ย่อมจะสิงสู่วนเวียนอยู่ในโรงพยาบาลนั่นเอง!
ส่วนในวัดไม่น่ากลัวอะไร เนื่องจากญาติมิตรได้บำเพ็ญกุศลให้ผู้ตายเรียบร้อย ถูกต้องตามประเพณี
ก่อนจะลงเอยด้วยการเผาหรือฝังศพ...จากดินสู่ดิน
จากเถ้าสู่เถ้า จากธุลีสู่ธุลี! วิญญาณไปสู่สุคติหรือปรโลกแล้ว ไม่ต้องเดือดร้อนทุรนทุรายมาปรากฏกายหลอกหลอนผู้คนอีกต่อไป
ฝ่ายที่เชื่อว่าในวัดผีดุมากกว่าก็มีเหตุผลน่ารับฟังเช่นกัน!
ในโรงพยาบาลย่อมมีผู้คนพลุกพล่าน แสงไฟสว่างไสว ไม่เปล่าเปลี่ยวและน่าวังเวงใจเหมือนในวัด ไหนจะมีทั้งแพทย์ พยาบาล
เจ้าหน้าที่แผนกต่างๆ โดยเฉพาะญาติมิตรของผู้ป่วย
ที่วนเวียนเข้าออกเกือบตลอดเวลา
ประการสำคัญคือ เมื่อคนป่วยเสียชีวิตลงก็ย่อมมีญาตินิมนต์พระภิกษุมาทำพิธีนำศพออกจากโรงพยาบาลไปวัด
วิญญาณจึงถูกนำทางออกไปด้วย...มิได้สิงสู่อยู่ในโรงพยาบาลตามที่เข้าใจกัน
ตรงกันข้าม วิญญาณเหล่านั้นล้วนแต่สิงสู่อยู่ในวัด โดยเฉพาะในป่าช้าจนแน่นขนัด น่าขนลุกขนพองเป็นอย่างยิ่ง
ดังนั้นจึงเชื่อถือได้ว่า ในวัดย่อมมีผีดุ
วิญญาณเฮี้ยนมากมายยิ่งกว่าในโรงพยาบาลอย่างแน่นอน!
ผมมีเรื่องขนหัวลุกมาเล่าสู่กันฟังครับ
เมื่อเดือนที่แล้วนี่เอง เพื่อนบ้านคนหนึ่งชื่อลุงสมจิตต์ แกเป็นข้าราชการบำนาญมาราว 5-6 ปีแล้ว จู่ๆ ก็เสียชีวิตขณะขับรถไปทำธุระที่ดอนเมือง...
ไม่ใช่เพราะเกิดอุบัติเหตุอะไร
แต่หัวใจวายกะทันหันเพราะมีอาการเส้นเลือดหัวใจตีบอยู่แล้ว ในรถมียาอมใต้ลิ้นตกเกลื่อน...สันนิษฐานว่าแกคงหยิบยาเข้าปากไม่ทัน
ภรรยาและลูกๆ นำศพไปบำเพ็ญกุศลที่วัดแห่งหนึ่งย่านบางเขน ผมสนิทกับลุงสมจิตต์มานาน รักใคร่นับถือกันเสมือนญาติ...
นอกจากจะไปงานสวดศพ 2 - 3 ครั้งแล้ว
คืนสุดท้ายที่จะบรรจุศพไว้ 100 วัน ก่อนจะทำพิธีฌาปนกิจ ผมกับเพื่อนบ้านอีกหลายคนก็ไปร่วมงานด้วย
คืนนั้นฝนตกพรำๆ มาตั้งแต่หัวค่ำ บรรยากาศเต็มไปด้วยความเยือกเย็นน่าวังเวงใจอย่างบอกไม่ถูก
ผมกับเพื่อนบ้านเดินตามหลังญาติๆ
ของลุงสมจิตต์ไปยังสุสานด้านหลังเงียบๆ ผ่านไปตามฮวงซุ้ยขาวโพลนที่เห็นตะคุ่มๆ อยู่ในแสงไฟ
ยอดไม้ไหวซ่าตามแรงลม ทำให้น้ำฝนตกลงมากระทบเนื้อตัวเย็นเฉียบ เสียงหมาหอนโหยหวน ระคนกับเสียงใครสะอื้นเบาๆ ทำให้รู้สึกเสียวสันหลังชอบกล
จนกระทั่งจุดหมาย...
สัปเหร่อจัดการบรรจุโลงศพใส่ฮวงซุ้ยที่เปิดด้านหน้า ใกล้ๆ กับร่มไม้ชายน้ำ พวกลูกเมียของลุงสมจิตต์ก็ยกมือไหว้ร่างไร้วิญญาณ
บ้างก็หยิบเงินใส่เข้าไปในฮวงซุ้ยคนละ 10 - 20 บาท บอกว่า...เอาไปซื้อที่ซื้อทางด้วยนะ! ก่อนจะถอยออกมาให้เขาจัดการปิดฮวงซุ้ย
ใครคนหนึ่งพึมพำว่า...ในที่สุด
คนเราก็ต้องมาลงเอยในป่าช้าเหมือนกันทุกคน น่าใจหายสิ้นดี!
จนกระทั่งพิธีต่างๆ เสร็จสิ้น ท่ามกลางความมืดสลัว มีแสงไฟวอมแวม ฝนยังตกพรำๆ เศร้าสร้อย
เสียงลมพัดลู่ไปตามสุมทุมพุ่มไม้น่าวังเวงใจ...พวกเราก็พากันออกมาเงียบๆ ทิ้งลุงสมจิตต์ให้นอนอยู่ในฮวงซุ้ยอย่างเปล่าเปลี่ยวเดียวดาย...
เพื่อนบ้านคนหนึ่งบอกกับผมว่า ลูกชายคนโตของลุงสมจิตต์ไม่ยอมกลับ!
ผมหันไปมองโดยไม่ได้ตั้งใจ เห็นผู้ชายคนหนึ่งยืนตะคุ่มๆ อยู่ข้างฮวงซุ้ยขาวโพลน แต่ไม่ได้หันหลังให้อย่างที่น่าจะเป็น ตรงข้าม
กลับหันหน้ามาทางพวกเราที่กำลังเดินห่างออกมา...
ขนลุกซ่าไปทั้งตัว...ลุงสมจิตต์น่ะซีครับที่กำลังยืนมองตามมาอย่างอาลัยอาวรณ์ ก่อนที่จะเลือนรางจางหายไปในความมืดสลัวของราตรี!
แหล่งที่มา:
เครดิต :
ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!