วิญญาณมีจริง : ป่าช้าเก่า

พ.ศ. ๒๕๒๙

วิญญาณมีจริง : ป่าช้าเก่า

เมื่อประมาณ พ.ศ. ๒๕๒๙ ข้าพเจ้าได้รับคำสั่งให้ย้ายไปรับราชการที่ศาลแห่งหนึ่ง ทางภาคเหนือ ข้าพเจ้าจึงออกเดินทางไปยังจังหวัดดังกล่าว โดยที่ข้าพเจ้าเป็นผู้หญิงตัวคนเดียว บิดามารดาเสียชีวิตหมดแล้ว และไม่มีญาติพี่น้องที่ไหน จึงสะดวกในการเดินทางออกไปต่างจังหวัดไกล ๆ ได้

เมื่อไปถึง นับเป็นโชคดีของข้าพเจ้า ที่มีบ้านผู้พิพากษาว่างอยู่หนึ่งหลัง เนื่องจากผู้พิพากษาเจ้าของบ้านพักหลังนี้เป็นผู้หญิง ได้ย้ายไปอยู่กับสามีซึ่งเป็นผู้พิพากษาศาลเดียวกัน ที่บ้านพักอีกหลังหนึ่ง จ่าศาลจึงอนุญาตให้ข้าพเจ้าไปพักอาศัยที่บ้านพักหลังนี้ได้ ทำให้ข้าพเจ้าดีใจมาก ที่ไม่ต้องออกไปหาบ้านเช่าอยู่เอง เพราะบ้านเช่าที่นี่ ค่อนข้างหายาก และค่าเช่าแพง สำหรับข้าราชการชั้นผู้น้อยอย่างข้าพเจ้า ถึงแม้จะสามารถเบิกค่าเช่าบ้านได้ตามสิทธิ ก็ต้องเสียเงินส่วนตัวเพิ่มอยู่ดี เพราะข้าพเจ้ามีสิทธิเบิกค่าเช่าบ้านได้เพียง ๕๐๐ กว่าบาทเท่านั้น

เป็นบ้านไม้สองชั้นค่อนข้างเก่า เพราะปลูกมาเป็นสิบ ๆ ปีแล้ว


บ้านพักที่ข้าพเจ้าได้ไปอยู่นั้น เป็นบ้านไม้สองชั้นค่อนข้างเก่า เพราะปลูกมาเป็นสิบ ๆ ปีแล้ว แต่บริเวณบ้านกว้างมาก มีต้นไม้ใหญ่ ๆ ร่มครึ้มไปหมด ทำให้บริเวณบ้านร่มรื่นมาก โดยเฉพาะต้นลำใยที่มีลูกดกเป็นพวงเต็มต้น ข้าพเจ้านึกกระหยิ่มใจที่จะได้กินลำใยให้เต็มอิ่ม เพราะเป็นผลไม้ที่ข้าพเจ้าชอบมาก

ข้าพเจ้าชวนเพื่อน ๆ เสมียนศาลผู้หญิงมาอยู่ด้วย ๒ คน เพราะมีห้องนอนอยู่ ๓ ห้องพอดี จะได้อยู่เป็นเพื่อนกัน เพราะบ้านหลังใหญ่ ถ้าให้อยู่คนเดียว ข้าพเจ้าก็รู้สึกกลัวเหมือนกัน ข้าพเจ้าไม่ได้กลัวผี แต่กลัวคนมากกว่า



ข้าพเจ้าก็ได้จุดธูปบอกเจ้าที่เจ้าทาง ตามที่ผู้ใหญ่สอน


วันแรกที่ขนของเข้าไปอยู่ ข้าพเจ้าก็ได้จุดธูปบอกเจ้าที่เจ้าทาง ตามที่ผู้ใหญ่สอนมาว่า ไปที่ไหนให้บอกกล่าวเจ้าที่เจ้าทางเสียก่อน เขาจะได้คุ้มครองเรา ข้าพเจ้าเลือกห้องที่ใหญ่ที่สุด ในห้องมีเตียงไม้เก่า ๆ ขนาด ๖ ฟุต มีตู้โต๊ะเครื่องแป้งครบชุด ยิ่งทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกว่า ตัวเองโชคดีอย่างที่สุด ที่ไม่ต้องไปซื้อหาของเหล่านี้ เพราะข้าพเจ้าเงินเดือนน้อย การที่มีเครื่องใช้จำเป็นอยู่พร้อม ทำให้ประหยัดเงินไปได้มาก

คืนแรกข้าพเจ้าเข้านอนดึกมาก เพราะต้องทำความสะอาดบ้าน และจัดข้าวของให้เป็นระเบียบ ประกอบกับยังเหน็ดเหนื่อยกับการเดินทาง เพราะข้าพเจ้าไม่เคยเดินทางไกลขนาดนี้มาก่อนเลย จึงนอนหลับเป็นตายรวดเดียวสว่าง ซึ่งข้าพเจ้าก็คิดว่า ถึงจะเกิดไฟไหม้ ข้าพเจ้าก็คงไม่รู้สึกตัวขึ้นมาเป็นแน่ คืนต่อมา ข้าพเจ้าเข้านอนแต่หัวค่ำ ต่างจังหวัดถึงจะหัวค่ำ แต่ก็ดูเงียบเหงา ไม่เหมือนกรุงเทพ ฯ


ผู้หญิงคนหนึ่ง นอนตะแคงอยู่ตรงหน้าเตียงของข้าพเจ้า


ข้าพเจ้าจะนอนหลับไปนานเท่าใดไม่ทราบ จนกระทั่งได้ยินเสียงหัวเราะ ตอนแรกก็ดังแว่ว ๆ เหมือนได้ยินมาแต่ไกล ต่อมาก็ดังขึ้น ๆ จนเหมือนกับว่า มีใครมาหัวเราะอยู่ข้างหูของข้าพเจ้า ขณะนั้น ความรู้สึกของข้าพเจ้าเคลิ้ม ครึ่งหลับครึ่งตื่นพิกล เมื่อเสียงหัวเราะดังขึ้นทุกที ข้าพเจ้านึกแวบไปว่า หรือจะเป็นเพื่อนของข้าพเจ้า อุตริมาแกล้งหัวเราะกรอกหูของข้าพเจ้า เอ. แต่ก่อนเข้านอนข้าพเจ้าแน่ใจนี่นาว่า ได้ล็อคประตูแน่นหนาแล้วแน่นอน เพราะเป็นนิสัยของข้าพเจ้าที่จะระมัดระวังตัวมาก เนื่องจากต้องคุ้มครองตัวเองอยู่ตลอดเวลา เสียงหัวเราะดังอยู่ตลอดเวลา มันเยือกเย็นเสียดแทงเข้าไปในหัวใจของข้าพเจ้า มันดังอยู่ตลอดเวลา เหมือนกับหัวเราะขบขันอะไรสักอย่าง

ข้าพเจ้ารู้สึกหนังตาหนักอึ้ง พยายามเปิดตาขึ้นมาจนได้ แล้วข้าพเจ้าก็ได้เห็นที่มาของเสียงหัวเราะนั้น มาจากผู้หญิงคนหนึ่ง นอนตะแคงอยู่ตรงหน้าเตียงของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเห็นได้ชัดเจน จากแสงจันทร์ที่ส่องกระจ่างเข้ามาในห้อง ผู้หญิงคนนั้น คลุมร่างอยู่ในชุดสีขาวทั้งชุด ผมยาวสลวย แต่แปลกที่ถึงแม้ว่า ข้าพเจ้าจะตะลึงตาค้างจ้องดูผู้หญิงคนนั้น เหมือนถูกมนต์สะกด แต่ก็มองใบหน้าผู้หญิงคนนั้นไม่ถนัด มันเบลอ ๆ ชอบกล ทั้ง ๆ ที่ข้าพเจ้ามองเห็นร่างที่นอนอยู่ชัดเจนมาก เห็นนัยน์ตาที่จ้องเขม็งมายังข้าพเจ้า เห็นปากที่อ้ากว้าง ส่งเสียงหัวเราะชอบอกชอบใจ



คืนนั้น ข้าพเจ้านอนคลุมโปงเปิดไฟทั้งคืน


ภาพผู้หญิงคนนั้น ค่อย ๆ จางหายไป ความรู้สึกเคลิ้ม ๆ ครึ่งหลับครึ่งตื่นของข้าพเจ้าหายไปหมด สติกลับมาเป็นของข้าพเจ้าอีกครั้งหนึ่ง ทันทีที่ได้สติ ข้าพเจ้ารู้สึกขนลุกขึ้นทั้งตัว ศีรษะรู้สึกจะพองใหญ่เท่ากระบุง ผมบนศีรษะรู้สึกว่ามันจะลุกตั้งขึ้นหมด เพราะความหวาดกลัว ซึ่งข้าพเจ้าก็ไม่ใช่คนที่กลัวผีด้วย แต่ข้าพเจ้ากระโจนพรวดเดียวไปเปิดไฟ พอแสงไฟสว่าง ความหวาดกลัวค่อยจางลง แต่ก็ยังคงกลัวมากอยู่ คืนนั้น ข้าพเจ้านอนคลุมโปงเปิดไฟทั้งคืน โดยที่ข้าพเจ้าไม่กล้าร้องโวยวายไปปลุกเพื่อนข้าพเจ้า ทั้งที่รู้สึกกลัวแทบขาดใจ

แต่เพราะข้าพเจ้าเป็นคนขี้เกรงใจ แล้วก็เกรงว่า เพื่อนข้าพเจ้าจะขวัญหนีดีฝ่อ แล้วย้ายออกไปอยู่ที่อื่น ข้าพเจ้าคงตายแน่ ถ้าจะต้องอยู่บ้านหลังนี้คนเดียว วันรุ่งขึ้น ข้าพเจ้าไม่ปริปากแพร่งพราย เรื่องที่ข้าพเจ้าประสบมาเมื่อคืน ให้เพื่อนของข้าพเจ้าฟังเลย



คราวนี้ได้ยินเสียงเหมือนคนเดินอยู่บนหลังคาบ้าน


คืนต่อมาพอเข้านอน ใกล้จะเคลิ้มหลับ เอาอีกแล้ว คราวนี้ได้ยินเสียงเหมือนคนเดินอยู่บนหลังคาบ้าน เดินอยู่นาน ข้าพเจ้าขนลุกซู่ สวดมนต์ผิด ๆ ถูก ๆ สงสัยอยู่เหมือนกันว่า เพื่อนข้าพเจ้าจะได้ยินหรือเปล่า เพราะเสียงดังมาก ท่ามกลางความเงียบ

สำหรับข้าพเจ้า นอนคลุมโปง เปิดไฟ เหมือนคืนก่อน กว่าเสียงเดินกุกกักจะเงียบหายไป ก็เป็นเวลาค่อนรุ่ง ข้าพเจ้าเคลิ้มหลับไปด้วยความทรมาน พอตื่นขึ้นมาตอนเช้า นึกแปลกใจที่เพื่อนของข้าพเจ้าทั้งคู่ ดูหน้าตาซีดเซียว ตาลึกโหล สอบถามจึงได้ความว่า เพื่อนข้าพเจ้าทั้งสองคน ก็โดนเหมือนข้าพเจ้า แต่ไม่กล้าเล่าสู่กันฟัง เพราะกลัวเพื่อน ๆ จะขวัญเสีย



เพื่อนข้าพเจ้าทั้งสองคน ก็โดนเหมือนข้าพเจ้า แต่ก็ต้องอดทนกับความกลัว เพราะไม่อยากจะออกไปเสียเงินเช่าบ้าน


อ้อย เล่าว่า กำลังหลับสบาย ได้ยินเสียงเดินตึง ๆ เข้ามาในห้อง พยายามลืมตาขึ้นดู ก็ลืมไม่ขึ้น มือเท้าชาไปหมด ความรู้สึกเหมือนโดนผีอำ แต่ก็แปลก ทั้ง ๆ ที่ลืมตาไม่ขึ้น ก็ยังเห็นได้ว่าเป็นผู้ชาย ตัวดำใหญ่ เดินตึง ๆ เข้ามานอนทับบนตัวอ้อย จนหายใจไม่ออก แทบขาดใจ ต้องรวบรวมสติ สวดมนต์หลวงพ่อทวดวัดช้างให้ ที่ว่า นะโม โพธิสัตโต อาคันติมายะ อิติภะคะวา จึงหายจากผีอำ กระโดดมาเปิดไฟได้

ส่วน แต๋ว เพื่อนอีกคนหนึ่ง เจอเงาตะคุ่มนั่งห้อยเท้า แกว่งขาอยู่บนต้นลำใย ที่ข้าพเจ้าหมายมั่นปั้นมือ จะเก็บกินให้สมใจอยากน่ะแหละ คืนต่อมา ข้าพเจ้า อ้อย และ แต๋ว ก็ย้ายมานอนรวมกัน อยู่ในห้องเดียวกัน ค่อยอุ่นใจขึ้นมาก แต่ก็ยังคงหวาดกลัวอยู่ดี ทั้ง ๆ ที่พวกเรา ๓ คน ไม่เคยกลัวผีมาก่อน แล้วไม่เชื่อด้วยว่า ผีมีจริง

สำหรับเสียงเดินกุกกักบนหลังคาบ้าง นอกห้องบ้าง ยังคงมีอยู่ทุกคืน ถ้าวันไหน ใส่บาตรตอนเช้า อุทิศส่วนกุศลไปให้ คืนนั้น จะนอนสบายหน่อย แต่พอวันไหนขี้เกียจ หรือไม่มีเวลา ไม่ได้ใส่บาตรไปให้ จะมีเสียงเดินตลอดเวลา บางทีก็หน้าต่างสั่นกราว เหมือนมีใครมาเขย่า

พวกข้าพเจ้าต้องอดทนกับความกลัว เพราะไม่อยากจะออกไปเสียเงินเช่าบ้าน ซึ่งคงไม่สะดวกสบายเท่าบ้านพักผู้พิพากษา และไม่มีเงินมากพอจะหาบ้านเช่าดี ๆ ได้ จึงจำทนอยู่



ผู้พิพากษาท่านหนึ่ง แนะนำให้เอาตราแผ่นดิน มาประทับบนแผ่นกระดาษ แล้วติดไว้ที่ประตูบ้าน


ต่อมา เรื่องที่ข้าพเจ้าถูกผีหลอกนี้ ได้ทราบไปถึงท่านผู้พิพากษาท่านหนึ่ง ได้กรุณาแนะนำให้เอาตราแผ่นดิน ซึ่งผู้พิพากษาใช้ มาประทับบนแผ่นกระดาษ แล้วติดไว้ที่ประตูบ้าน ท่านบอกว่า ผีมันเห็นแล้วมันจะกลัว ไม่กล้าเข้ามาอีก ซึ่งข้าพเจ้าได้เอาไปติดไว้ตามที่ท่านบอก

ปรากฎว่า ได้ผลดีมาก ข้าพเจ้าไม่เคยได้เห็น หรือ ได้ยินเสียงแปลก ๆ หรือ สิ่งที่ทำให้ขนพองสยองเกล้าอีกเลย ต่อมา ได้ทราบประวัติบ้านหลังนี้จากนักการศาล ซึ่งเป็นคนเก่าแก่ ได้เล่าว่า

ที่ที่ปลูกบ้านพักหลังนี้ เดิมเป็นป่าช้าเก่า มิน่าล่ะ ถึงได้ดุนัก แล้วมีหลายตัวเสียด้วย จนบัดนี้ ข้าพเจ้าได้ย้ายไปรับราชการที่ศาลอื่นแล้ว แต่ยังจดจำเรื่องราวที่เกิดขึ้นได้อย่างแม่นยำ เพราะเป็นครั้งแรกในชีวิต ที่ประสบกับเรื่องที่เหลือเชื่อเช่นนี้



ใครว่าผีไม่มีจริง ! ข้าพเจ้าขอเถียงหัวชนฝาทีเดียว



เครดิษ
เรื่องที่ ๑๙ ป่าช้าเก่า
โดย เนติกานต์
จากหนังสือ ตายแล้วไปไหน เล่มที่ ๒๘

เครดิต :

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์