เจ้าที่เฮี้ยนจับขาเจ้าของบ้านฟาดพื้นตาย


เจ้าที่เฮี้ยนจับขาเจ้าของบ้านฟาดพื้นตาย



เรื่องมีอยู่ว่า ดิฉันได้ไปดูตึกแถวหลังหนึ่ง

ตึกแถวนี้เจ้าของเดิมได้ต่อเติมชั้นลอยให้เต็มชั้น วัสดุที่ใช้ต่อเติมเป็นไม้ เมื่อดิฉันดูทั่วแล้วก็ถูกใจอยากจะได้ จึงเดินมาที่หน้าบ้าน

นึกในใจว่า ถ้าเจ้าที่มีจริงขอให้ซื้อตึกแถวหลังนี้ได้โดยง่าย ก่อนหน้านี้ดิฉันก็ได้แต่สงสัยว่าทำไมเจ้าของบ้านไม่ตั้งศาลเจ้าที่ (ตี้-จู่-เอี๋ย)

แบบบ้านคนจีนทั่วไป หรือว่ามีศาลพระภูมิบนดาดฟ้า

เหมือนบ้านคนอื่นทั่ว ๆ ไป ก็แปลกใจว่าเจ้าของบ้านเป็นคนจีน หรือคนไทย แต่ก็ไม่เป็นไรเพราะถ้าเราซื้อได้แล้วเราก็จะตั้งศาลให้ เหมือนที่บ้านเดิมที่เราอยู่ (ตี่-จู่-เอี๋ย) เมื่ออยากได้ก็อธิฐานไปอย่างนั้น

ก็เป็นเรื่องแปลก เพราะว่าดิฉันซื้อตึกแถวหลังนี้ได้ง่ายมาก ใช้เวลาไม่ถึง 7 วัน ดิฉันก็ได้เป็นเจ้าของตึกแถวหลังนี้ เวลาผ่านไป 3 เดือน ดิฉันก็ได้ไปซื้อบ้านอีกหลังซึ่งหลังนี้ได้ใช้อาศัย

ส่วนตึกแถวดิฉันก็ปล่อยไว้เฉย ๆ

ไม่ได้ทำอะไรกับมันเลย สภาพเหมือนตอนซื้อมา เพราะมัวแต่ยุ่งอยู่กับบ้านหลังใหม่ ภายหลังก็มีคนมาขอเช่าตึกแถวเพื่อทำการค้า ก็ให้เขาเช่าไป เช่าอยู่ได้ไม่นาน เศรษฐกิจไม่ดีค้าขายไม่คล่อง เขาก็เลยเลิกเช่า

ช่วงนี้ดิฉันรู้สึกไม่สบายใจเลย รู้สึกขึ้นมาเฉย ๆ ไม่มีปัญหาใด ๆ ทั้งการงาน การเงิน ก็ไม่มีปัญหา แต่รู้สึกว่าไม่สบายใจ เหมือนเป็นลางสังหรญ์ คิดแต่เรื่องตายอยู่ตลอดเวลา

ถ้าเราตายไปตอนนี้จะมีใครรับรู้เรื่องงานที่เราทำอยู่หรือไม่

ถ้าเราตายใครจะมาทำงานแทน ก็คิดวนอยู่อย่างนี้ตลอด ก็แปลกใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมเราคิดว่าตัวเราเองจะตาย

ตั้งแต่เกิดมาดิฉันไม่เคยห้อยพระ แต่ครั้งนี้รู้สึกไม่สบายใจมาก ๆ ไม่รู้จะพึ่งใครได้ นึกได้ว่าแม่เคยให้พระไว้ จึงได้เริ่มห้อยพระ

ต่อมามีผู้เช่ารายใหม่ติดต่อเข้ามา

จึงได้นัดกันไปดูตึก วันที่ ๒๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๓ เวลา ๑๕.๐๐ น.

ช่วงเช้าก่อนออกจากบ้านก็มีความรู้สึกไม่สบายใจมาก ๆ ไม่อยากไป รู้สึกไปว่าถ้าเราไปที่ตึกแถวเราจะต้องตกตึกตาย พอตั้งสติขึ้นมาได้ก็งงตัวเองว่าทำไมเราคิดไปอย่างนั้น

แต่ก็ตัดความคิดนี้ออกไปไม่ได้ ดิฉันใส่กระโปร่งสั้น

ถ้าเราตกลงมาคงจะไม่สวยแน่ ขึ้นบ้านไปใส่กางเกงขาสั้นไปอีกตัวนึงแล้วค่อยออกไป

แต่ก็ไม่วายคิดต่อไปอีกว่า ถ้าเราตกตึกแล้วใครจะส่งข่าวให้ทางบ้านรู้ได้ จึงเรียกเด็กคนงานออกมากับดิฉันด้วย

ขณะที่ขับรถไปใจก็ยังรู้สึกว่าวันนี้เราต้องตกตึกตายอยู่ตลอดเวลา

เมื่อไปถึงตามนัด ก็พาผู้เช่าเข้าดูตึก ขณะที่กำลังเปิดประตูเข้าไปก็มีลมแรงพัดมาจากในบ้าน ก็ตกใจ ข้างนอกก็ไม่มีลมสักนิด

แต่มีลมในบ้านได้อย่างไร ก็ฉุกคิดได้ว่า ไหนจะตั้งศาลให้ ทำไมไม่ตั้ง ก็งงทำไมพึ่งจะมานึกได้ ก็นึกในใจว่าพาคนมาดูบ้านจะมานึกอะไรเรื่องตั้งศาลเก็บไว้ก่อน รู้สึกเกือบจะวูบ แต่ก็ผ่านมาได้ไม่เป็นอะไร

จึงเดินขึ้นชั้นลอยตามลูกค้าไป ลูกค้าก็เดินสำรวจชั้นลอย

แล้วมาหยุดอยู่ตรงกลาง บอกว่าพึ้นตรงนี้เสียงกอบแกบ ๆ คนแรกผ่านไป อีกคนก็ลองมากระทึบเท้าตรงนั้น

แล้วก็บอกว่าจริงด้วย แล้วเขาก็เดินไปที่อื่น ไอ้เราก็งง เสียงกอบแกบมันเสียงอะไร จึงได้เดินไปตรงนั้นยังไม่ได้ลองกระทืบเลยแค่ไปยึนตรงนั้น

ยืนเฉย ๆ แต่ที่ทำเอาตกใจคือเรามองทะลุพื้น

ชั้นลอย มองลงไปคือพื้นชั้นล่าง เห็นว่าเป็นพื้นกระเบื้องเห็นลวดลายได้ชัดเจน แต่พื้นชั้นลอยมันปูด้วยกระเบื้องยางนี่

ขณะที่กำลังซ๊อคอยู่นั้นก็มีผู้ชายผมขาวเสื้อก็ขาวกางเกงก็ขาวแต่ดูมอซอ หน้าตาดุหน้ากลัว โผล่มาจากข้างล่าง พูดว่า

"นี่เจ้าที่ บอกว่าจะตั้งศาลให้ ทำไมไม่ตั้งสักที"

แล้วก็เอื้อมมือมาดึงขาดิฉันทะลุพื้นลงไป ขณะที่ชายคนนี้ดึงขา ดิฉันก็ร้องว่าอย่าดึง

ใจก็นึกถึงพระที่คอว่าช่วยลูกด้วย ก็ปรากฎแสงออกจากองค์พระ พร้อมกับเสียงห้ามว่า อย่านะ อย่าทำร้ายเขา

แต่ไม่ทันเจ้าที่ เจ้าที่จับขาดิฉันได้ก่อน

แล้วก็ฟาดดิฉันลงกระแทกพึ้น หน้า หน้าอกดิฉันกระแทกพื้นรู้สึกเจ็บปวดมาก ดิฉันค่อย ๆ ลุกขึ้น เมื่อลุกขึ้นมาแล้ว ก็ได้ช๊อคอีกรอบนึง

อ้าวนั่นตัวเรายังนอนอยู่ที่พื้น นี่ตัวเรายืนอยู่นี่ ทำไมเรามีสองร่าง ก้มสำรวจร่างที่นอนคว่ำหน้าอยู่ เอ๊! เสื้อผ้าเหมือนกัน ดิฉันก็พยายามจะช่วยพยุงร่างที่นอนอยู่ แต่ก็จับไม่ได้ เหมือนคว้าลม ทำอยู่หลายรอบ

เจ้าที่แกก็เดินไปทางหลังบ้าน

ส่วนพระยังอยู่ข้าง ๆ เรา จากนั้นลูกค้าก็วิ่งลงมา ปากก็เรียกคนงานของดิฉันบอกให้ไปเรียกแท๊กซีมาเร็ว ๆ เข้า แล้วลูกค้าก็ช่วยกันอุ้มร่างที่นอนอยู่ออกไปหน้าบ้าน ไม่ได้สนใจเราเลย เราก็ยืนอยู่ตรงนี้แท้ ๆ

โอ้ย ! คราวนี้อะไรอีกล่ะ ใครโผล่มาจากพื้นอีก หน้าตาดุหน้ากลัวมาก ผมก็หยิกหนา แถมมีเขากำลังงอกอีก ตาก็ใหญ่โปน รูจมูกใหญ่ ปากใหญ่หนา หน้ามีสีแดงจัด

แต่ผิวหน้าเขาเนียนนะ เสื้อผ้าที่ใส่ก็ไม่เหมือนคนทั่วไป

แล้วเขาก็พูดเสียงดัวว่า "จิตวิญญาณออกจากร่างแล้วให้ตามมา" ดิฉันตกใจ นึกในใจว่านี่คือท่านยมทูต ทำไมท่านหน้าตาน่ากลัวนัก แล้วก็ได้ยินเสียงพระว่าไม่ต้องกลัวจะดูแลร่างไว้ให้ปลอดภัย

ทั้ง ๆ ที่ไม่อยากไปกับท่านยมทูต แต่ก็ไม่สามารถขัดขืนได้ ขณะที่เดินตามท่านไปใจจึงรู้ว่านี่เราตายแล้ว

ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่รู้ว่าตัวตายแล้ว

ทำให้ใจเศร้าสรดลงอีก เศร้ามากถ้าเป็นตอนที่มีชีวิตอยู่ ถ้าเศร้าขนาดนี้ก็ต้องถึงกับขนาดที่ว่าต้องปล่อยโฮออกมาทีเดียว

แต่นี่ก็ได้แต่รู้สึกว่าเศร้า แล้วก็เดินตามท่านไป แต่ก็เดินตามท่านยมทูตไม่ทันเสียที พยายามเท่าไรก็เดินไม่ทันท่าน ก็เลยก้มหน้าลงพื้น

อ้าวเท้าเราไม่ได้แตะพื้นเลย เราลอยอยู่นี่ มองที่มือก็ดูโปร่งแสง

ตอนนั้นลูกค้าที่พาร่างดิฉันไป ก็ได้เขย่าตัวเรียกแล้วถามหมายเลขโทรศัพท์ที่บ้าน ดิฉันก็กลับมาบอกเบอร์โทรศัพท์ที่บ้าน บอกแล้วก็กลับไปกับยมทูตตามเดิม แล้วลูกค้าก็ถามอีกว่าใช้โรงพยาบาลไหนประจำ

ดิฉันก็กลับมาบอกเขาอีก แล้วเขาก็ถามอีกว่าแถวนี้มีโรงพยาบาลไหนใกล้ที่สุด ตอนนั้นดิฉันรู้สึกใจจะขาด ก็ไม่ตอบได้แต่นึกในใจว่าจะส่งโรงพยาบาลไหนก็เชิญตามสบาย

จากนั้นก็กลับไปเหาะตามยมทูตต่อ

ตอนนี้จิตรู้สึกเป็นสุขมาก ไม่มีความเจ็บปวดใด ๆ อีกแล้ว แว๊บเดียวก็ถึงสถานที่ ที่หนึ่ง

เป็นลานกว้างโล่งมองได้สุดสายตาไม่รู้ว่าสิ้นสุดที่ไหน จากนั้นก็มาถึงตรงแท่น ๆ หนึ่ง มีผู้ชายสองคนแต่งกายเหมือนเทวดา ท่านถามว่า

ชื่ออะไร นามสกุลอะไร

ดิฉันก็ตอบไป

อีกท่านก็ถามว่ามีชื่ออื่นอีกมั๊ย

ดิฉันมีชื่อจีน ก็เลยบอกชื่อจีนไป แล้วท่านก็ถามว่า

สวดมนต์ได้มั๊ย

ดิฉันก็ตอบว่าสวดได้ แล้วก็สวดให้ท่านฟัง

แล้วท่านก็ให้ไปคุกเข่ารอ ขณะที่รอ ก็รู้สึกว่าร่างอยู่ที่โรงพยาบาล นางพยาบาลก็เขย่าตัว แล้วบอกว่าหายใจลึก ๆ แล้วก็ให้ออกซิเจน แล้วลูกชายก็มาบอกว่าเขาจะเอาไปเอ็กเรย์

ให้แม่ถอดเครื่องประดับออก ดิฉันก็ถอดให้ลูกไป แต่ไม่ยอมถอดพระ เพราะว่านึกถึงคำท่านที่บอกว่าท่านจะคุ้มครองร่างให้ แล้วก็สลบไปอีก มารู้สึกตัวว่าตัวเองกำลังคุกเข่าอยู่ที่สำนักพยายม ตอนนี้ก็รู้สึกได้ถึงแสง ๆ หนึ่ง

(มาทราบภายหลังว่า หลังจากเอ็กเรย์ หมอพบว่า

มีเลือดออกในสมอง ถ้าภายใน ๒๔ ชั่วโมง อาการไม่ดีขึ้น จะต้องทำการผ่าตัดสมอง สามีดิฉันตกใจ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ได้แต่อธิฐานในใจว่า ด้วยผลบุญกุศลที่ข้าพเจ้าได้ทำมาตั้งแต่อดีตชาติ ขอให้นางเพ็ญหายป่วย ฟื้นกลับมาเป็นปกติ)

คืออะไร แต่รู้สึกได้ว่ามีความสบายมากขึ้น จากนั้นก็เห็นขาคู่หนึ่งใหญ่มาก ๆ แต่สวย สวมรองเท้าปลายงอน พยายามแหงนมองหน้าท่านก็มองไม่เห็น

แล้วท่านก็พูดขึ้นมาด้วยเสียงอันดัง ก้องกังงาน ว่า ยังห่วงอะไรอยู่

ก็ตอบท่านว่าห่วงแม่ เพราะแม่เป็นมะเร็ง และดิฉันเองที่เป็นคนพาแม่ไปหาหมอ ห่วงลูก ๒ คน ยังเรียนไม่จบ ท่านบอกว่า

เป็นคนกตัญญู

ท่านพูดจบก็มีกล่อง ๆ หนึ่ง โผล่ขึ้นมา ดิฉันเข้าใจว่านี่คือกล่องกตัญญู แล้ว

ท่านก็พูดขึ้นมาอีกว่า

ทำบุญไว้มากนี่

ก็มีกล่อง โผล่ขึ้นมาอีกกล่อง ใหญ่กว่าเดิม

ดิฉันรู้สึกอิ่มเอิบใจมากขึ้นอีกมาก ไม่สามารถบอกเป็นคำพูดได้ แล้วดิฉันเห็นทางแก้ว เป็นทางลาดขึ้น ดิฉันจะลุกขึ้นยืนจะขึ้นทางแก้ว ท่านมัจจุราชพูดขึ้นว่า

ยังไม่ถึงเวลา

ร่างอยู่ที่โรงพยาบาล ท่านยมทูตจงนำจิตวิญญาณไปส่ง
ดิฉันก็งง แล้วก็นึกว่าเรามาถึงสถานทีนี้แล้ว และกำลังจะจากไป

อยากจะเห็นหน้าท่านพยายมสักครั้ง

อยากจะกราบท่าน คิดจบร่างท่านพยายมท่านก็เล็กลงเหมือนคนปกติ ดิฉันจึงเห็นท่านได้ แต่ก็อดสงสัยว่า

ใช่องค์เดียวกันหรือเปล่า ก็มองไปที่รองเท้าท่าน ก็จำได้ว่าองค์เดียวกัน จากนั้นท่านก็วูบเข้าวูบออกแล้วก็หายไปเลย ดิฉันไม่ทันจะได้กราบท่านด้วยซ้ำ

แว๊บเดียวท่านยมทูตก็พาดิฉันมาถึงหน้าโรงพยาบาล

แล้วจึงเข้าไปขออนุญาติพระภูมิเจ้าที่ เพื่อพาข้าพเจ้าเข้าไปในโรงพยาบาล พระภูมิท่านก็แต่งกายเหมือนเทวดา

เดินออกมาจากศาลพระภูมิพูดคุยกับยมทูต แล้วก็มีผู้หญิงแขกอีก ๒ คน มารวมวงสนทนา

เมื่อท่านคุยกันเสร็จ ท่านก็พาดิฉันแว๊บ

มาถึงหน้าห้องเลย แล้วก็มีชาย ๒ เดินออกมาจากขอบประตูทั้งสองข้าง ท่านยมทูตก็ขออนุญาติเข้าห้องอีก เมื่อยมทูตขออนุญาติชาย ๒ คน นั้นแล้ว เขาทั้งสองก็เดินทะลุประตูกลับข้าห้องไป แล้วท่านยมทูตก็เดินตามเข้าไป

โดยไม่ได้เปิดประดู ดิฉันเดินตามท่านเข้าไป ก็สามารถเดินทะลุประดูเข้าไปได้เหมือนกัน เมื่อเข้าห้องมาแล้ว ก็เห็นตัวเองนอนอยู่บนเตียง ดิฉันก็มาหยุดอยู่ที่ปลายเท้าของตัวเอง ท่านยมทูตก็พูดขึ้นว่า

จิตวิญญาณจงเข้าร่าง

ดิฉันก็รู้สึกตัวขึ้นมาบนเตียง เหมือนพึ่งตื่น ก็ถามลูกชายว่าเกิดอะไรขึ้น

ลูกชายก็ตอบว่าแม่ถามเป็นร้อยครั้งแล้วคำนี้

ดิฉันเองก็ไม่ทราบว่าถามอะไรตั้งหลายครั้ง ไม่ทราบจริง ๆ ว่าได้ถามอะไรลูกไปบ้าง ก็ถามลูกว่าแม่ได้ถามอะไรลูกไปบ้าง

ลูกก็บอกว่า แม่ถามถึงน้องที่เรียนอยู่ต่างประเทศ

ก็ถามอยู่นั่นแหละตอบจนเบื่อแล้ว

ดิฉันก็ไม่เข้าใจ ก็เราพึ่งจะมาเข้าร่าง ก่อนหน้านี้ก็อยู่สำนักพยายม จะเอาอะไรมาถาม

จากนั้นฉันมองไปที่ประตู ก็ยังเห็นท่านยมทูตอยู่ มีลูกอีกคนยืนเบียดท่านยมทูตอยู่ความสูงแค่ใต้จั๊กแร้ยมทูตเท่านั้น จึงบอกลูกว่ากระเถิบมาหน่อย แล้วทำไมไม่ไหว้ท่านยมทูต

ลูกฟังแล้วก็งง งง

ดิฉันก็แปลกใจแต่แรกแล้วว่า ตอนท่านยมทูตพาเราเข้ามา ทำไมใคร ๆ ไม่

สนใจทักทายกันเลย จึงถามพยาบาลว่าคุณเห็นท่านยมทูตมั้ย

นางพยาบาลร้องเสียงหลงว่า ไม่มีค่ะไม่มี ไม่มีค่ะ

ดิฉันก็ถามอีก

นางพยาบาลก็ปฎิเสธเสียงหลงเหมือนเดิม ว่า ไม่มีค่ะ ๆ

ดิฉันเห็นว่าไม่เป็นเรื่องแน่จึงหยุดถาม

แต่ท่านยมทูตก็ยังอยู่

ดิฉันเข้าร่างแล้วแต่ยังเห็นท่านได้ด้วยตาเนื้อ สติเริ่มกลับมา นึกขึ้นได้จึงนึกในใจว่า ท่านเจ้าขาเชิญกลับเถอะค่ะ อิฉันไม่เป็นไรแล้ว แต่ท่านก็เฉย

พอดีหมอเข้ามาตรวจ ดิฉันจึงถามหมอว่า ดิฉันจะตายมั้ย หมอตอบว่า

ไม่ตายหรอกครับ ไม่ตายหรอก อยู่กับหมอแล้ว คุณบาดเจ็บนิดหน่อยเท่านั้นเอง

ดิฉันจึงบอกคุณหมอว่า ช่วยไปบอกท่านยมทูตให้หน่อยว่าให้กลับได้แล้ว ไม่ต้องรอ

คุณหมอก็เอาแฟ๊มโบกไปทั่วห้อง ปากก็ร้องว่า ไป ไป ไปที่อื่น

จากนั้นคุณหมอก็มาตรวจ

ดิฉันก็บอกหมอว่าเจ็บแผลที่หน้า แล้วรู้สึกหัวใจเต้นผิดปกติ เวลาเจ็บแผล หัวใจก็จะกระตุกไปด้วย

วันรุ่งขึ้นหมอเข้ามาตรวจ แล้วก็ถามดิฉันว่าคุณเห็นอะไรเหรอ

ดิฉันก็เล่าให้หมอฟัง แต่ก็กลัวหมอว่าเราบ้า

จึงพูดออกตัวว่า เมื่อก่อนดิฉันเป็นคนไม่เชื่อเรื่องนรก สวรรค์ เรื่องวิญญาณ ว่ามีจริง

จากนั้นจึงได้เล่าเรื่องทั้งหมดให้หมอฟัง หมอจะเชื่อหรือไม่ก็ไม่เป็นไร แต่หมอก็รับฟังโดยดี

หลังจากนั้นก็มีหมอดูแลด้านสมองมาตรวจ คืออาการดิฉันตอนนั้นหน้าบวมปูด หน้าผากลงมาถึงคางมีลอยถลอก ลูกตาช้ำเป็นสีม่วงดำ ผลมาจากกระแทกอย่างแรง

หมอบอกว่าเหมือนถูกไม้ท์ไทสันต่อยมา หมอก็ฉงนมากว่า

คุณตกลงมาในท่ายืน ที่ความสูง ๓ เมตร กระดูกเท้าต้องแตก ขาต้องหัก ต้องเข้าเผือกดามขาแล้ว แต่ทำไมขาคุณไม่เป็นอะไรเลย แค่รอยคูดกับไม้เท่านั้น

ดิฉันจึงเล่าเรื่องทั้งหมดให้หมอฟังอีกรอบ หมอก็รับฟัง แต่ก็ได้เช็คสมองดิฉันเป็นการใหญ่ เช่นถามเลขที่บ้าน ถามเบอร์โทรศัพท์ ถามอะไรต่อมิอะไร สามีก็ยืนยันว่าถูก

หมอก็บอกว่าสมองด้านความจำไม่เป็นอะไร

ดิฉันก็รู้ว่าสมองดิฉันปกติ

เมื่อก่อนนี้ดิฉันมีลูกค้ามาเล่าเรื่องตายแล้วฟื้นให้ฟังว่าเขาป่วย แล้วมียมทูตมารับตัวไป เขาเป็นโรคหัวใจตาย แต่กลับฟื้นขึ้นมาได้ ดิฉันก็ฟังโดยมารยาท แต่ไม่เชื่อ ไม่เชื่อจริง ๆ

แต่หลังจากเหตุการณ์นี้ผ่านไปแล้วดิฉันก็อยากจะไปคุยไปบอกเขาว่า ดิฉันได้ไปพบไปเห็นแบบเดียวกับที่เขาเคยมาเล่าให้ฟัง แต่ตอนนี้เขาก็ได้ตายไปแล้ว ก็เลยไม่ได้คุยกัน

เมื่อก่อนดิฉันคิดว่าดิฉันก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าใครเลย

ในด้านการทำมาหากิน แต่เพิ่งจะมาตาสว่างเอาเมื่อตอนอายุ ๔๐ กว่า

อยากจะบอกว่า นรก สวรรค์ มีจริง ดิฉันไปสัมผัสมาแล้ว
อยากให้ทุกคนรักษาศีล ๕ สร้างบุญ ละบาป อย่าเบียดเบียนใคร ให้

กตัญญูต่อพ่อแม่ ผู้มีพระคุณ
ขอบคุณคะ ขอให้ทุก ๆ คนโชคดีนะคะ




แหล่งที่มา:


เครดิต :

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์