รถสวยกับกลิ่นสาบสาง
นานมาแล้วที่ฉันไม่เคยลืมเรื่องที่เกิดขึ้นกับฉันและรถสปอร์ตคันสวยสีเหลืองสด
และอีกสิ่งหนึ่งที่ฉันไม่รู้ว่าจะลืมมันไปจากใจได้อย่างไรเพราะมันคือเรื่องราวของพลังงานบางอย่างที่ทำให้ฉันถึงกับช็อกที่ได้พบมันเมื่อปีที่แล้ว ทุกอย่างยังคงตราตรึงอยู่ในความทรงจำ ราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อชั่วโมงก่อนนี่เอง ฉันเป็นคนโชคดีอย่างน้อยก็ก่อนที่จะพบกับเรื่องที่ฉันกำลังจะเล่าให้ฟังต่อไปนี้
นั่นก็คือฉันเป็นเด็กต่างจังหวัดที่เข้ามาเรียนหนังสือในกรุงเทพฯ
ตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่น โดยอาศัยอยู่กับบ้านญาติข้างแม่ของฉัน เรื่องการเรียนของฉันนั้นไม่มีปัญหา ฉันพยายามตั้งใจเรียนเพราะสำนึกอยู่ตลอดเวลาว่าครอบครัวทางบ้านไม่ได้มีฐานะดีมากมายนัก ดังนั้นสิ่งที่ทำให้ฉันภูมิใจท่ามกลางสังคมที่สับสนในกรุงเทพฯก็คือการเรียนให้ดีที่สุด
ฉันทุ่มเทในการเรียนอย่างมากมาย และในที่สุดความฝันของฉันก็เป็นจริง
เมื่อฉันสามารถเรียนจบได้ด้วยเกรดดีเยี่ยม ทำให้มี บริษัทชั้นนำหลายบริษัทส่งจดหมายเรียกตัวฉันให้เข้าทำงานด้วย ฉันเลือกอย่างรอบคอบก่อนที่จะเข้าทำงานในสถานที่ ๆ ค่อนข้างมีระบบการทำงานแบบอเมริกันและทำให้ฉันต้องฝึกทักษะในการใช้ภาษาต่างประเทศมากขึ้นจากที่เคยเรียนมาในสถาบันอีกมากมายแต่นั่นไมใช่อุปสรรคใหญ่ของฉััน แต่อุปสรรคใหญ่ของฉันคือการเดินทางจากที่พักซึ่งอยู่ในย่านบางชุนเทียนของฉัน หลังจากที่ทนทำงานมาได้หลายเดือน รวมทั้งการได้ค่าตอบแทนเป็นเงินเดือนและเงินพิเศษค่อนข้างมากทำให้ฉันมีเงินเก็บมากพอจะเอาไปซื้อรถมาใช้เพื่อผ่านภาระการเดินทางได้
ฉันปรึกษากับน้าสาวและน้าชายแล้ว จึงพากันไปซื้อรถมือสองคันหนึ่ง
ที่เต๊นท์รถแถว ๆ ห้วยขวางหลังจากที่ได้อ่านพบในโฆษณาขายรถ น้าชายได้สอนให้ฉันขับรถคล่องก่อนที่จะซื้อรถคันดังกล่าว มันเป็นรถสปอตสีเหลืองสดใส ตอนนั้นฉันไม่เคยนึกสงสัยเลยซักนิด ว่าทำไมเจ้าของคนเก่าที่เป็นผู้หญิงถึงได้ครอบครองรถคันนี้อยู่ได้แค่ระยะเวลาสั้นๆเท่านั้น ฉันคิดว่าแค่ได้ขับรถไปทำงานก็พอใจแล้วฉันขับรถสีเหลืองคันโปรดไปทำงานได้ราวหนึ่งเดือนก็มีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้นโดยที่ฉันไม่รู้ตัว
มันเริ่มเกิดขึ้นในคืนที่ฉันต้องทำงานดึกร่วมกับเพื่อนร่วมงามในออฟฟิศ
ซึ่งต้องใช้เวลาในการประชุมและตัดสินใจร่วมกันนานพอดู กว่าจะประชุมและมอบหมายงานเสร็จสิ้นก็ล่วงเช้าไปเกือบสองทุ่มแล้ว ฉันโทรไปบอกน้าชายน้าสาวว่าจะกลับดึกหน่อย ไม่ต้องห่วง พอเสร็จงานฉันกับเพื่อนร่วมงานก็ได้พากันไปทานข้าวที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง เพื่อนๆต่างมีรถกันคนละคัน ดังนั้นเวลาไปไหนก็ต่างขับกันไป และทานอาหารเส็จแล้วก็ต่างกลับบ้านใครบ้านมัน ฉันดื่มไวน์มาบ้างนิดหน่อย แต่ก็ไม่ทำให้มึนไปบ้างทั้ง ๆ ที่พยายามแค่จิบ ๆ มันไม่ถึงแก้วด้วยซ้ำ แต่อาการมึนของฉันแทบจะหายไปเหมือนปลิดทิ้งเมื่อฉันได้กลิ่นสาบสางบางอย่างภายในรถ ตอนแรกฉันคิดว่าเป็นกลิ่นขี้หมาที่ฉันอาจจะเหยียบมันเข้าไปที่ใดที่หนึ่งก่อนจะขึ้นรถ
แต่เมื่อจอดรถติดไฟแดงฉันลองหงายรองเท้าดูก็ไม่เห็นมีอะไรผิดปกติ
เมื่อพ้นเขตจอแจก็เข้าสู่เขตต้นไม้ครึ้ม และป่าชายเลนแถบทะเลกรุงเทพฯซึ่งใกล้บ้านฉันเข้าไปทุกขณะ กลิ่นสาบสางนั้นยิ่งรุนแรงมากยิ่งขึ้นจนคล้ายมีตัวอะไรมาตายอยู่ในรถ แต่ฉันก็ขับกลับบ้านน้าสาวได้ โดยไม่มีอะไรเกิดขึ้น นอจากกลิ่นสาบสางที่ติดจมูกอยู่นาน ครั้นจะเรียกน้าชายให้มาช่วยดูรถให้ก็ดึกแล้ว ฉันจึงรีบเข้านอนทนที พอรุ่งขึ้นก็บอกให้น้าชายตรวจรถให้อย่างละเอียดแต่ก็ไม่มีอะไรตายในรถ น้าชายก็เลยสอบให้ฉันกดปุ่มปิดอากาศภายนอกที่จะเข้ามาข้างใน
การทำงานหนักทำให้ฉันลืมเรื่องกลิ่นสาบสางนั่นไป แต่แล้วก็มีงานที่ต้องร่วมมือกันเตรียมงามใหญ่อีกที่บริษัทของฉันทำให้ต้องอยู่ทำงานจนดึกอย่างน้อยสองคืน
คืนแรกนั้นไม่มีอะไรมาก นอกจากกลิ่นสาบสางที่ทำให้ฉันหงุดหงิดขึ้นมาอีก
ตอนนั้นฉันไม่นึกกลัวด้วยซ้ำกลับรำคาญที่มีกลิ่นแบบนั้นอยู่ในรถ คืนที่สองฉันต้องทำงานดึกกว่าเก่า และคืนนั้นพอเสร็จงานประชุมแล้วพอดีเป็นคืนวัน ศุกร์ด้วยวันรุ่งขึ้นเป็นวันหยุดพวกเพื่อนจึงชวนกันไปทานข้าวและไปฟังเพลงกันบ้างเพื่อคลายเครียด ฉันเองเห็นว่าลงเรือลำเดียวกันแล้วว่าไงก็ว่าตามกันเลยไปตามคำชวนของเพื่อน กว่าจะได้แยกย้ายกันกลับก็ดึกเที่ยงคืนแล่วคืนั้นฉันมึนๆเล็กน้อยเพราะฤทธ์ไวน์แก้วเดียว ฉันว่าถ้าลองดื่มไปเรื่อย ๆ ในอนาคตคงเลิกเมาก็ได้
ฉันขับรถกลับมาโดยที่ได้กลิ่นสาบมาตลอด
และมันทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้นเมื่อเข้าเขตเปลี่ยว มีแต่ฉันลำพังผู้เดียวที่ยังขับรถอยู่บนถนน และเมื่อฉันพยายามมองกระจกส่องหลังเพื่อหารถที่อาจจะตามหลังมาบ้างฉันถึงกับขนลุกซู่ ฉันมองเห็นสิ่งที่คล้ายๆผู้หญิงผมยาวที่มีผมปิดหน้าอยู่ที่เบาะหลังโดยที่หญิงคนนั้นค่อยๆเงยหน้าช้อนตาขึ้นมามองฉันช้า ๆ ฉันเห็นแววตาแดงเพลิงนั้นถนัดตา ฉันพยายามคิดว่าฉันฝันไป ฉันคงเมาตาลายมากกว่า และฉันก็เลิกมองกระจกส่องหลังไปทันทีกลิ่นสาบตลบอบอวลอยู่ในรถ ฉันอยากรู้ว่าภาพที่เห็นเมื่อกี้เป็นเพียงอาการตาฝาดหรือไม่ จึงได้มองไปที่กระจงหลังอีกครั้งคราวนี้ฉันเห็นใบหน้าของหญิงคนนั้นถนัดตา หน้านั้นมีเลือดเกรอะกรังไปหมด ฉันจึงเลิกมองกระจกหลังไปเลย ตอนนั้นฉันสับสนไปหมดพยายามคิดว่าตัวเองเมาตาฝาดไป
ฉันพยายามนึกถึงสิ่งอื่นๆให้ลืมเรื่องนี้ไป แต่ก็ไม่เป็นผล
ตอนนั้นระยะทางยังอยู่ห่างจากบ้าน4-5กิโล ฉันคิดว่าอดทนขับไปอีกนิดเดียวก็จะถึงบ้านน้าแล้ว ฉันทำใจแข็งไว้ แต่แล้วฉันก็อดไม่ได้ที่จะมองกระจกหลังอีกที คราวนี้ฉันพบใบหน้าที่แสยะยิ้มน่ากลัวและผมที่ปลิวไสวขิงสาวคนนั้น ฉันแทบครองสติไม่อยู่แล้ว พยายามนึกถึงพระพุทธคุณให้มาคุ้มครองฉัน นานพอดูที่ไม่มองกระจกหลังและเหลือระยะทางอีกราว 1กิโล และแล้วสิ่งที่ฉันไม่นึกไม่ฝันก็เกิดขึ้น นั่นก็คือจู่ๆโฉมหน้าของวิญญาญที่อยู่ที่เบาะหลังรถของฉันก็หายวับไปเมื่อฉันทำใจแข็ง หันไปมองที่กระจกหลังอีกครั้งเพราะใจชื้นคิดว่าอยู่ใกล้บ้านเต็มที่แล้ว
และฉันก็ต้องร้อง กรี๊ดดดดดดดดดด สุดเสียงงงง แทบสิ้นสติ
เมื่อพบว่าหน้าผู้หญิงที่น่ากลัวนั้นแม้จะหายไปจากเบาะหลัง แต่กลับมาแนบหน้าชิดกับกระจกด้านข้างผู้โดยสารตอนหน้า ราวกับจะฝุงหน้าทะลุกระจกเข้ามาในรถให้ได้ ฉันขนลุกซู่ เกิดอาการกลับจุบใจ แต่เท้าก็ยังคงเหยียบคันเร่งอยู่ ฉันรู้สึกเหมือนกับว่าภาพนั้นเป็นภาพที่ติดอยู่ในความทรงจำที่นานแสนนาน ใบหน้านั้นไม่มีลำตัว มีแต่ใบหน้าและเลือดที่คละคลุ้งไปทั่วใบหน้า ปากที่แยกเขี้ยวและดูเหมือนจะพยายามพูดหรือบอกอะไรบางอยา่งให้ฉันได้รับรู้นั้นขยับไปเรื่อยๆผมก็สยายปลิวไปมา ใบหน้าก็แนบติดกระจกอยู่ตลอดทั้งๆที่ฉันก็ขับรถด้วยความเร็วราวๆ 80 ก.ม./ช.ม.
"โครม" เสียงดังสนั่นปานฟ้าผ่าดังขึ้นและฉันก็ไม่รู้สึกตัวอีกเลย
เมื่อลืมตาขึ้นมา คนแรกที่ฉันเห็นคือแม่ของฉัน ฉันรับรู้ภายหลังว่าฉันนอนอยู่ที่โรงพยาบาลเป็นเวลา3วันโดยไม่ได้สติ รถสีเหลืองคันโปรดของฉันนั้นพุ่งเข้าชนต้นไม้ข้างทางจนพังยับ ฉันพยายามจะถามอะไรต่อไปอีกแต่น้าสาวห้ามไม่ให้ถามมาก เพราะเป็นห่วงว่าฉันจะเป็นกังวล... ฉันพบว่าตัวฉันนั้นกระดูกขาหักทั้งสองข้าง ซี่โครงก็หักตาม และหน้าตาของฉันนั้นหวิดเสียโฉม เมื่อกิ่งไม้ใหญ่ที่พุ่งเข้ามาในกระจกหน้ารถนั้นเฉียดหน้าฉันไปนิดเดียวแต่ก็ทิ่งเข้าไปในไฟปลาร้าจนหักสะบ้น
ต่อมาเมื่ออาการดีขึ้นแล้วฉันเลยขอให้น้าชายเล่าเรื่องให้ฟังน้าชายบอกว่า
จากการสืบสวนของตำรวจ พบว่ารถคันนั้นเจ้าของเดิมเป็นผู้หญิง ทำงานในฝ่ายวิจัยอาหารอยู่ในโรงงานผลิตอาหารแห่งหนึ่ง ต่อมาผู้หญิงคนนั้นไปจอดรถติดไฟแดงอยู่ในตอนดึกและมีวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งเปิดประตูรถเข้าไปได้โดยที่เธอไม่ทันได้ล็อกรถเพราะเป็นรุ่นเก่าไม่มีเซ็นทรัลล็อก วัยรุ่นกลุ่มนั้นพากันข่มขืนเจ้าของรถคันเก่านั้นจนปางตาย ก่อนจะฆ่าตัดหัวเพื่ออำพรางคดี โดยที่แยกร่างและหัวออกจากกัน ส่วนหัวนั้นทิ้งไว้ในรถก่อนที่จะเข็นลงคลอง ส่วนตัวของผู้หญิงที่เป็นเหยื่อนั้นก็เอาไปใส่กระเป๋าเดินทางใบใหญ่และเอาไปทิ้งที่อื่น
น้าชายเล่าต่อไปว่า ต่อมากลุ่มวัยรุ่นนั่นถูกจับได้และรถคันนั้นก็ถูกกู้ขึ้นมา
ก่อนที่จะมีการทำเครื่องและทำสีใหม่ก่อนจะนำไปขายและไม่รู้ไปยังไงมายังไงถึงมาจอดที่่เต๊นท์รถในย่านหัวขวางจนมีคนไปซื้อมาได้ คนที่ซื้อรถคันนั้นก็คือฉันเอง น้าชายบอกว่าตอนพบร่างของฉันติดอยู่ในรถนั้น ฉันยังกำพระไว้แน่นในกำมือ เมื่อฉันเล่าให้น้าชายฟังว่าคืนนั้นฉันพบกับอะไรบ้างน้าชายถึงกับหนาถอดสี
ฉันกับครอบครัวถึงกับต้องไปรดน้ำมนต์กันใหญ่ทุกวันนี้ฉันเก็บเงินอีกก้อนหนึ่งเพื่อเอาไปซื้อรถอีก คราวนี้ฉันสัญญากับตัวเองว่าจะไม่ซื้อรถมือสองเด็ดขาด ฉันจะซื้อรถป้ายแดงอย่างเดียวเท่าันั้น
อ้างอิงจากหนังสือ อาถรรพณ์เหลือเชื่อ
เครดิต :
ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!