คืนอำลา
"วิมลวรรณ" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากโรงพยาบาล
ดิฉันไม่เคยเชื่อเรื่องผีๆ สางๆ มาตั้งแต่เด็กๆ แล้วค่ะ แม้ว่าจะชอบฟังผู้ใหญ่เล่าเรื่องผีนักหนา เพราะสนุกสนานตื่นเต้น ได้ลุ้นระทึกว่าผีจะหลอกยังไง? แบบไหน? มีการใช้สองมือแหกอกตัวเองจนเห็นตับไตไส้พุงห้อยร่องแร่งหรือเปล่า? คือฟังแล้วต้องน่ากลัวนะคะ ถึงจะสนุก เมื่อได้ฟังหลายๆ เรื่องเข้ารู้สึกว่าชักจะซ้ำๆ กันจนไม่ค่อยน่ากลัวเท่าไหร่ จนต้องขอร้องคนเล่าว่า ...ขอเละๆ หน่อยนะคะ!
พอโตขึ้นก็ได้อ่านการ์ตูนและเรื่องผีต่างๆ หนังผีก็ชอบดูค่ะ พอๆ กับหนังตลกหรือไม่ก็เป็นหนังบู๊ไปเลย ระหว่างนั้นเราจะเพลิดเพลินและตื่นเต้นไปด้วย...แต่พอจบแล้วก็แล้วกัน ไม่ได้คิดอะไรมาก
ประสบการณ์สอนให้รู้ว่าชีวิตจริงๆ ของคนเรา มีทั้งเรื่องน่าตื่นเต้นและน่ากลัวไม่แพ้กับในหนังหรอกค่ะ ทำให้สับสน ฟุ้งซ่าน จนเกิดอาการเครียดขึ้นได้ง่ายๆ ไม่ว่าเรื่องส่วนตัวหรือเรื่องการงาน รวมทั้งสถานการณ์บ้านเมืองที่ผู้คนแทบจะประสาทกินไปตามๆ กันอยู่แล้ว เมื่อไหร่เรื่องเลวร้ายจะคลี่คลาย กลับคืนสู่ความสงบสุขเสียที? ขนาดนี้แล้วจะเอาเวลาที่ไหนไปคิดถึงเรื่องผี หรือกลัวผีอีกล่ะคะ ขอถามหน่อยเถอะค่ะ แต่แล้วดิฉันเองก็ต้องประสบกับเหตุการณ์น่าขนหัวลุกอย่างจังๆ ถ้าใครมาเล่าก็คงไม่เชื่อแน่ๆ ดีแต่ว่าเกิดขึ้นกับตัวเองจึงเชื่อมั่นเต็มร้อยว่า ...คนไม่กลัวผีอย่างเรากลับโดนผีหลอกซึ่งๆ หน้า...นึกถึงแล้วยังขนลุกขนพอง มือเท้าเย็นเหมือนตอนที่โดนหลอกหลอนน่ะซีคะ
สาเหตุมาจากญาติผู้ใหญ่คนหนึ่งชื่อ ป้าช้อย เป็นพี่สาวของแม่ดิฉัน ได้ถึงแก่กรรมเมื่ออายุ 60 เศษที่โรงพยาบาลใกล้ๆ บ้าน แถวอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมินี่เอง
ป้าช้อยเป็นสาวโสด อยู่กับเรามาตั้งแต่แม่แต่งงานใหม่ๆ ดิฉันรักป้าช้อยเหมือนเป็นแม่คนหนึ่ง พอแก่ตัวก็เจ็บออดๆ แอดๆ เดี๋ยวความดันสูง เดี๋ยวโรคหัวใจ เดี๋ยวเบาหวาน...ต้องเวียนเข้าเวียนออกโรงพยาบาลเป็นว่าเล่น นับวันก็ยิ่งทนทุกข์ทรมานมากขึ้นทุกที! ดิฉันกับพี่น้องก็ช่วยดูแลอย่างเต็มที่ จนในที่สุดร่างกายของป้าช้อยก็ทนทานต่อไปไม่ไหว...คืนหนึ่ง เราเพิ่งกลับจากเยี่ยมไข้มาถึงบ้าน รู้แน่ว่าการเข้ารักษาตัวครั้งนี้คงจะเป็นครั้งสุดท้ายแน่นอน...โทรศัพท์จาก ร.พ.ก็บอกข่าวว่าป้าช้อยสิ้นลมหายใจเสียแล้ว
เรา-คือดิฉันกับน้องชายต้องออกมาหาแท็กซี่ ย้อนกลับไปโรงพยาบาลอีกครั้ง
ขณะนั้นเป็นเวลา 4 ทุ่มเศษ บรรยากาศดูเปล่าเปลี่ยวน่าวังเวงใจ แม้ว่าจะมีแสงไฟส่องสว่างก็ตาม ประตูใหญ่เข้าตึกปิดแล้ว เราต้องอ้อมไปเข้าด้านข้างแล้วเดินไปชั้น 2 กดลิฟต์ขึ้นชั้น 7 ซึ่งเป็นห้องรวม มีคนไข้ 10 เตียงใกล้ๆ กับห้องแพทย์และพยาบาลที่ทะลุถึงกันได้ กลิ่นยา กลิ่นเลือด และกลิ่นไอของความตายราวกับจะอวลซ่านอยู่ในห้องนั้น! ร่างบอบบางของป้าช้อยนอนสงบนิ่ง ดูเผินๆ เหมือนคนนอนหลับ แต่ใบหน้าซีดเซียวเกือบจะเขียวคล้ำ นัยน์ตาคล้ายจะยุบลงในเบ้า...เราพนมมือไหว้ศพ ขออโหสิกรรม กับหวังว่าวิญญาณของป้าช้อยจะไปสู่สุคติในภพหน้า...
ดิฉันรู้สึกแสบร้อนเบ้าตาทั้งสองข้างอย่างช่วยไม่ได้ แม้จะคิดว่าทำใจไว้แล้วก็ตาม นึกถึงภาพในอดีตที่ยังจดจำได้แม่นยำ...ต่อไปนี้เราจะไม่มีป้าช้อยอีกแล้ว...
พยาบาลเข้ามาพูดเรื่องมรณบัตร ที่เราจะต้องแจ้งให้เขตทราบภายใน 24 ชั่วโมง กับขออนุญาตผ่าตัดศพพิสูจน์ตามระเบียบ ดิฉันก็เซ็นให้ แล้วถามถึงการรับศพ ได้ความว่าแพทย์จะผ่าตัดตอนเช้า คิดว่าราวบ่ายๆ ก็ติดต่อรับศพไปบำเพ็ญกุศลได้ ราว 5 ทุ่มเศษ เราก็ลงจากตึกกลับทางเก่า! ระหว่างนั้นก็ปรึกษากันว่าต้องโทรศัพท์ไปวัดใกล้ๆ บ้านเพื่อจองศาลาสวดศพ ไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าจะได้หรือเปล่า? น้องชายให้ความรู้ว่า ถ้ายังไม่ได้จริงๆ ก็ฝากศพไว้ที่ร.พ.ก่อน...ตอนที่พ่อเพื่อนเสียชีวิตก็เคยมีประสบการณ์แบบนี้มาแล้ว ทางร.พ.มีบริการทั้งโลงศพ ฉีดฟอร์มาลีน รวมทั้งมีรถบรรทุกศพไปส่งที่วัดด้วย
"แต่ทางวัดเขาก็มีบริการแบบนี้เหมือนกัน จะให้ใครจัดการก็อยู่ที่เจ้าภาพจะตัดสินใจเอง"
น้องชายบอก ดิฉันคิดว่าให้ทางร.พ.จัดการทั้งหมดดีกว่า จะถูกจะแพงกว่ากันนิดหน่อยก็ช่างเถอะ คิดเสียว่าเราทำตอบแทนพระคุณป้าช้อยเป็นครั้งสุดท้าย...ขณะนั้น เราเดินบนฟุตปาธหน้าตึกที่จะมุ่งไปสู่ประตูใหญ่ เห็นแสงไฟรถแล่นผ่านไปมา อากาศยามดึกเยือกเย็น รอบๆ ตัวเราว่างเปล่าอยู่ในแสงไฟเหลืองรัวน่าใจหาย
เสียงสวดมนต์ดังแว่วมากระทบหูทันใด!
แม้จะอยู่ใกล้วัด แต่พระที่ไหนจะมาสวดมนต์ยามดึกดื่นเกือบสองยามแบบนี้ล่ะคะ? แถมฟังแล้วเหมือนเสียงสวดพระอภิธรรมหน้าศพอีกต่างหาก! นึกได้ก็ชะงักกึก น้องชายพลอยหยุดเดินไปด้วย พึมพำเสียงเครือไปถนัดว่า...พระที่ไหนมาสวดมนต์ตอนนี้? หรือว่า....เสียงของเขาขาดหายไป ดิฉันหันมองก็เห็นน้องเบิกตากว้าง ปากอ้าค้าง ครั้นมองตามสายตานั้นไปดิฉันก็รู้สึกเย็นวาบจากท้ายทอย แล่นซ่าลงไปตามไขสันหลัง เมื่อเห็นร่างของคนไข้กลุ่มหนึ่งราว 3 คนกำลังเดินช้าๆอยู่ตรงหน้าเรา ทั้งๆ ที่เมื่อสักครู่ไม่มีใครเลยแม้แต่คนเดียว
คุณพระช่วย! ร่างในชุดคนไข้กลุ่มนั้นเป็นผู้หญิงล้วน ดิฉันเพิ่งเห็นตอนนั้นเองว่า เท้าของทุกคนลอยสูงกว่าพื้นถนนราวคืบเศษ...
ทันใด คนกลางก็ดูผอมสูงกว่าเพื่อนก็ค่อยๆ หันหน้ามามองเราอย่างเชื่องช้า "ป้าช้อย..." เสียงครางดังมาจากน้องชาย ดิฉันเองรู้สึกม่านตาพร่าพรายคล้ายจะเป็นลมไปในบัดดล...ป้าช้อยจริงๆ ค่ะ ที่หันมายิ้มเศร้าๆ ปากเผยอเหมือนจะกล่าวคำอำลา...ก่อนที่ร่างทั้ง 3 จะเลือนรางจางหายไปในแสงไฟเยือกเย็น หนาวสะท้านจนขนลุกเกรียวไปทั้งตัว!
ขอขอบคุณประสบการณ์ขนหัวลุกจาก
เว็บไซด์หนังสือพิมพ์ข่าวสด
ดิฉันไม่เคยเชื่อเรื่องผีๆ สางๆ มาตั้งแต่เด็กๆ แล้วค่ะ แม้ว่าจะชอบฟังผู้ใหญ่เล่าเรื่องผีนักหนา เพราะสนุกสนานตื่นเต้น ได้ลุ้นระทึกว่าผีจะหลอกยังไง? แบบไหน? มีการใช้สองมือแหกอกตัวเองจนเห็นตับไตไส้พุงห้อยร่องแร่งหรือเปล่า? คือฟังแล้วต้องน่ากลัวนะคะ ถึงจะสนุก เมื่อได้ฟังหลายๆ เรื่องเข้ารู้สึกว่าชักจะซ้ำๆ กันจนไม่ค่อยน่ากลัวเท่าไหร่ จนต้องขอร้องคนเล่าว่า ...ขอเละๆ หน่อยนะคะ!
พอโตขึ้นก็ได้อ่านการ์ตูนและเรื่องผีต่างๆ หนังผีก็ชอบดูค่ะ พอๆ กับหนังตลกหรือไม่ก็เป็นหนังบู๊ไปเลย ระหว่างนั้นเราจะเพลิดเพลินและตื่นเต้นไปด้วย...แต่พอจบแล้วก็แล้วกัน ไม่ได้คิดอะไรมาก
ประสบการณ์สอนให้รู้ว่าชีวิตจริงๆ ของคนเรา มีทั้งเรื่องน่าตื่นเต้นและน่ากลัวไม่แพ้กับในหนังหรอกค่ะ ทำให้สับสน ฟุ้งซ่าน จนเกิดอาการเครียดขึ้นได้ง่ายๆ ไม่ว่าเรื่องส่วนตัวหรือเรื่องการงาน รวมทั้งสถานการณ์บ้านเมืองที่ผู้คนแทบจะประสาทกินไปตามๆ กันอยู่แล้ว เมื่อไหร่เรื่องเลวร้ายจะคลี่คลาย กลับคืนสู่ความสงบสุขเสียที? ขนาดนี้แล้วจะเอาเวลาที่ไหนไปคิดถึงเรื่องผี หรือกลัวผีอีกล่ะคะ ขอถามหน่อยเถอะค่ะ แต่แล้วดิฉันเองก็ต้องประสบกับเหตุการณ์น่าขนหัวลุกอย่างจังๆ ถ้าใครมาเล่าก็คงไม่เชื่อแน่ๆ ดีแต่ว่าเกิดขึ้นกับตัวเองจึงเชื่อมั่นเต็มร้อยว่า ...คนไม่กลัวผีอย่างเรากลับโดนผีหลอกซึ่งๆ หน้า...นึกถึงแล้วยังขนลุกขนพอง มือเท้าเย็นเหมือนตอนที่โดนหลอกหลอนน่ะซีคะ
สาเหตุมาจากญาติผู้ใหญ่คนหนึ่งชื่อ ป้าช้อย เป็นพี่สาวของแม่ดิฉัน ได้ถึงแก่กรรมเมื่ออายุ 60 เศษที่โรงพยาบาลใกล้ๆ บ้าน แถวอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมินี่เอง
ป้าช้อยเป็นสาวโสด อยู่กับเรามาตั้งแต่แม่แต่งงานใหม่ๆ ดิฉันรักป้าช้อยเหมือนเป็นแม่คนหนึ่ง พอแก่ตัวก็เจ็บออดๆ แอดๆ เดี๋ยวความดันสูง เดี๋ยวโรคหัวใจ เดี๋ยวเบาหวาน...ต้องเวียนเข้าเวียนออกโรงพยาบาลเป็นว่าเล่น นับวันก็ยิ่งทนทุกข์ทรมานมากขึ้นทุกที! ดิฉันกับพี่น้องก็ช่วยดูแลอย่างเต็มที่ จนในที่สุดร่างกายของป้าช้อยก็ทนทานต่อไปไม่ไหว...คืนหนึ่ง เราเพิ่งกลับจากเยี่ยมไข้มาถึงบ้าน รู้แน่ว่าการเข้ารักษาตัวครั้งนี้คงจะเป็นครั้งสุดท้ายแน่นอน...โทรศัพท์จาก ร.พ.ก็บอกข่าวว่าป้าช้อยสิ้นลมหายใจเสียแล้ว
เรา-คือดิฉันกับน้องชายต้องออกมาหาแท็กซี่ ย้อนกลับไปโรงพยาบาลอีกครั้ง
ขณะนั้นเป็นเวลา 4 ทุ่มเศษ บรรยากาศดูเปล่าเปลี่ยวน่าวังเวงใจ แม้ว่าจะมีแสงไฟส่องสว่างก็ตาม ประตูใหญ่เข้าตึกปิดแล้ว เราต้องอ้อมไปเข้าด้านข้างแล้วเดินไปชั้น 2 กดลิฟต์ขึ้นชั้น 7 ซึ่งเป็นห้องรวม มีคนไข้ 10 เตียงใกล้ๆ กับห้องแพทย์และพยาบาลที่ทะลุถึงกันได้ กลิ่นยา กลิ่นเลือด และกลิ่นไอของความตายราวกับจะอวลซ่านอยู่ในห้องนั้น! ร่างบอบบางของป้าช้อยนอนสงบนิ่ง ดูเผินๆ เหมือนคนนอนหลับ แต่ใบหน้าซีดเซียวเกือบจะเขียวคล้ำ นัยน์ตาคล้ายจะยุบลงในเบ้า...เราพนมมือไหว้ศพ ขออโหสิกรรม กับหวังว่าวิญญาณของป้าช้อยจะไปสู่สุคติในภพหน้า...
ดิฉันรู้สึกแสบร้อนเบ้าตาทั้งสองข้างอย่างช่วยไม่ได้ แม้จะคิดว่าทำใจไว้แล้วก็ตาม นึกถึงภาพในอดีตที่ยังจดจำได้แม่นยำ...ต่อไปนี้เราจะไม่มีป้าช้อยอีกแล้ว...
พยาบาลเข้ามาพูดเรื่องมรณบัตร ที่เราจะต้องแจ้งให้เขตทราบภายใน 24 ชั่วโมง กับขออนุญาตผ่าตัดศพพิสูจน์ตามระเบียบ ดิฉันก็เซ็นให้ แล้วถามถึงการรับศพ ได้ความว่าแพทย์จะผ่าตัดตอนเช้า คิดว่าราวบ่ายๆ ก็ติดต่อรับศพไปบำเพ็ญกุศลได้ ราว 5 ทุ่มเศษ เราก็ลงจากตึกกลับทางเก่า! ระหว่างนั้นก็ปรึกษากันว่าต้องโทรศัพท์ไปวัดใกล้ๆ บ้านเพื่อจองศาลาสวดศพ ไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าจะได้หรือเปล่า? น้องชายให้ความรู้ว่า ถ้ายังไม่ได้จริงๆ ก็ฝากศพไว้ที่ร.พ.ก่อน...ตอนที่พ่อเพื่อนเสียชีวิตก็เคยมีประสบการณ์แบบนี้มาแล้ว ทางร.พ.มีบริการทั้งโลงศพ ฉีดฟอร์มาลีน รวมทั้งมีรถบรรทุกศพไปส่งที่วัดด้วย
"แต่ทางวัดเขาก็มีบริการแบบนี้เหมือนกัน จะให้ใครจัดการก็อยู่ที่เจ้าภาพจะตัดสินใจเอง"
น้องชายบอก ดิฉันคิดว่าให้ทางร.พ.จัดการทั้งหมดดีกว่า จะถูกจะแพงกว่ากันนิดหน่อยก็ช่างเถอะ คิดเสียว่าเราทำตอบแทนพระคุณป้าช้อยเป็นครั้งสุดท้าย...ขณะนั้น เราเดินบนฟุตปาธหน้าตึกที่จะมุ่งไปสู่ประตูใหญ่ เห็นแสงไฟรถแล่นผ่านไปมา อากาศยามดึกเยือกเย็น รอบๆ ตัวเราว่างเปล่าอยู่ในแสงไฟเหลืองรัวน่าใจหาย
เสียงสวดมนต์ดังแว่วมากระทบหูทันใด!
แม้จะอยู่ใกล้วัด แต่พระที่ไหนจะมาสวดมนต์ยามดึกดื่นเกือบสองยามแบบนี้ล่ะคะ? แถมฟังแล้วเหมือนเสียงสวดพระอภิธรรมหน้าศพอีกต่างหาก! นึกได้ก็ชะงักกึก น้องชายพลอยหยุดเดินไปด้วย พึมพำเสียงเครือไปถนัดว่า...พระที่ไหนมาสวดมนต์ตอนนี้? หรือว่า....เสียงของเขาขาดหายไป ดิฉันหันมองก็เห็นน้องเบิกตากว้าง ปากอ้าค้าง ครั้นมองตามสายตานั้นไปดิฉันก็รู้สึกเย็นวาบจากท้ายทอย แล่นซ่าลงไปตามไขสันหลัง เมื่อเห็นร่างของคนไข้กลุ่มหนึ่งราว 3 คนกำลังเดินช้าๆอยู่ตรงหน้าเรา ทั้งๆ ที่เมื่อสักครู่ไม่มีใครเลยแม้แต่คนเดียว
คุณพระช่วย! ร่างในชุดคนไข้กลุ่มนั้นเป็นผู้หญิงล้วน ดิฉันเพิ่งเห็นตอนนั้นเองว่า เท้าของทุกคนลอยสูงกว่าพื้นถนนราวคืบเศษ...
ทันใด คนกลางก็ดูผอมสูงกว่าเพื่อนก็ค่อยๆ หันหน้ามามองเราอย่างเชื่องช้า "ป้าช้อย..." เสียงครางดังมาจากน้องชาย ดิฉันเองรู้สึกม่านตาพร่าพรายคล้ายจะเป็นลมไปในบัดดล...ป้าช้อยจริงๆ ค่ะ ที่หันมายิ้มเศร้าๆ ปากเผยอเหมือนจะกล่าวคำอำลา...ก่อนที่ร่างทั้ง 3 จะเลือนรางจางหายไปในแสงไฟเยือกเย็น หนาวสะท้านจนขนลุกเกรียวไปทั้งตัว!
ขอขอบคุณประสบการณ์ขนหัวลุกจาก
เว็บไซด์หนังสือพิมพ์ข่าวสด
เครดิต :
ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!