เส้นทางสยอง
วันหนึ่งเมื่อหลายปีก่อนซึ่งตอนนั้นผมเรียนอยู่ชั้นมัธยมปีที่4 ได้ครับ
แล้วต้องเดินทางกลับบ้านที่ต่างจังหวัดเพื่อกลับไปเยี่ยมญาติที่จังหวัดพิษณุโลก ตอนเดินทางไปเป็นช่วงเวลากลางวันครับ ซึ่งการเดินทางในครั้งนั้นช่วงขาไปเราใช้เส้นทางสายเอเซียครับซึ่งรถจะค่อนข้างเยอะทีเดียวมีทั้งรถทั่วไปแล้วก็ส่วนมากจะเป็นรถบรรทุกซะเยอะ ซึ่งคนที่เคยใช้ถนนสายหลักนี้คงพอจะรู้จักกันดี ตอนขาไปก็ดีครับการเดินปลอดภัยไร้กังวลเพราะมันเป็นช่วงกลางคืน แต่หลังจากเยี่ยมเยียนญาติเรียบร้อยแล้วเราก็ต้องรีบเดินทางกลับกันครับเราเดินทางกันไป3คนครับโดยมีคุณพ่อเป็นคนขับส่วนคุณแม่นั่งอยู่เบาะหลัง แล้วผมนั่งอยู่เบาะหน้าข้างคุณพ่อ
ขากลับพวกเราตกลงกันว่าเราจะใช้เส้นทางลัดคือที่เค้าเรียกกันว่า สายตากฟ้า
เพราะรถค่อนข้างน้อยกว่าสายเอเซียและก็ย่นระยะทางได้หลายสิบกิโลเมตรเลยทีเดียว ซึ่งตอนนั้นถนนสายนี้ยังไม่ค่อยมีคนใช้มากนักเพราะเนื่องจากค่อนข้างเปลี่ยว นานๆถึงจะเจอเพื่อนร่วมเดินทางสักคันหนึ่ง แล้วรถส่วนมากก็จะขับค่อนข้างเร็วครับเพราะถนนมันโล่งแล้วก็จะไม่อยากช้าเพราะกลัวอาชญากรรม เพราะฉนั้นผู้คนที่จะใช้เส้นทางสายนี้ส่วนมากก็จะถือว่าจำเป็นจริงๆนั่นหล่ะครับถึงจะมาใช้กัน เพราะถ้าเกิดรถราเกิดเสียระหว่างทางขึ้นมาละก็ บอกได้เลยว่าอันตรายมากๆครับ แล้วก็ยากที่จะหาคนมีน้ำใจช่วยคุณได้เพราะรถคันอื่นเค้าก็กลัวว่าจะเป็นแผนการของมิฉจาชีพหรือเปล่าไม่มีใครจอดช่วยคุณอย่างแน่นอนครับ ด้วยเหตุนี้เองที่ทำให้รถวิ่งเร็วซะจนปลิวได้ เราก็ขับด้วยความเร็วอยู่เหมือนครับ
แต่แล้วเราทั้ง3 คนก็เจอเหตุการณ์ประหลาดบางอย่างอยู่ริมถนนข้างซ้ายฝั่งที่ผมนั่งอยู่
เราเห็นผู้หญิงคนหนึงกำลังวิ่งสวนทางมาด้วยสีหน้าตื่นตระหนกเธอโบกมือเหมือนกำลังขอความช่วยเหลือเราทั้ง3คนเห็นเหมือนกันเธอใส่เสื้อยืดสีขาวกางเกงยีน ตัดผมสั้น แล้วตามตัวและเสื้อผ้าเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดแต่ไม่มาก ขณะที่เราขับรถเดินหน้าไปด้วยความเร็วนั้นผู้หญิงคนนี้ก็ยังวิ่งสวนทางเราอยู่เหมือนเดิมระยะห่างเท่าเดิมอยู่ตรงหน้าเราเหมือนเดิมโดยหลักความเป็นจริงแล้วในขณะที่รถเรายังวิ่งอยู่ก็ย่อมที่จะเลยผ่านสิ่งต่างๆไปแต่นี่รถยิ่งวิ่งเคลื่อนที่ไปแต่ผู้หญิงคนนี้ก็ยังวิ่งอยู่ตรงหน้าเราเหมือนเดิมไม่ผ่านเลยไปสักทีพอขับมาได้สัก 500 เมตร เราก็ต้องเหยียบเบรคตัวโก่งเพราะข้างหน้าเรานั้นมีอะไรบางอย่างตกอยู่ตรงหน้าพอไฟหน้ารถสาดส่องไปที่วัตถุนั้นอย่างเต็มๆตา ผมก็ตกใจสุดขีด ตกตะลึงกับภาพที่เห็นตรงหน้า ผมอ้าปากค้าง ตายังคงจ้องไปที่สิ่งนั้นอยู่ มันคือศรีษะของชายคนหนึ่งหันหน้ามาทางเรา ดวงตาเบิกโพง มีเลือดออกทางจมูกและตาทั้งสองข้าง และไม่มีคอ มีแต่หัว เลือดไหลทะลักกองเต็มพื้นถนน
แล้วผมก็หันไปมองผ่านกระจกรถเห็นรถเก๋งคันหนึ่งประสบอุบัติเหตุชนกับรถพ่วง 2 ตอน จอดแน่นิ่งอยู่
ทั้งๆที่เครื่องยนต์ยังติดอยู่ ไฟรถก็ยังเปิดอยู่ พ่อผมพยายามเรียกสติคืนมาแล้วก็หันพวงมาลัยหักหลบ ศีรษะของผู้ชายคนนั้นอย่างลุ้นระทึก เราทะลอรถดูเผื่อจะช่วยอะไรได้บ้างหรือเปล่า แล้วรถบัสฝั่งถนนตรงข้ามก็จอดรถแล้วก็มีคนวิ่งลงมาดูประมาณ4-5 คน ต่างก็พร้อมใจกันรีบโทรศัพท์กันยกใหญ่ ผมเปิดกระจกลงแล้วมองเข้าไปในรถคันนั้นก็ต้องตกใจสุดขีดอีกครั้งเมื่อเห็นว่า เบาะหลังคนขับนั้นมีผู้หญิงท้อง 1 คน คาดว่าน่าจะคอหักเสียชีวิต แล้วที่ทำให้เราต้องผวาคือผู้หญิงที่นั่งคู่กับหญิงท้อง ช่างเหมือนกับผู้หญิงที่กำลังวิ่งสวนทางกับเราเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมานี้เอง เธอคอหักแล้วก็คงถูกกระแทกอย่างแรงเสียชีวิตมีเลือดเปรอะเปื้อนเสื้อผ้าเหมือนกับที่เราเห็นเปะ ด้านหน้าฝั่งข้างคนขับโดนอัดก๊อปปี้ยุบทั้งแถบส่วน
ภาพที่ผมจำไม่เคยรบเลือนจนกระทั่งบัดนี้ก็คงจะเป็น คนขับนี่แหล่ะครับ
เหลือแต่ตัวเลือดพุ่งยังไม่หยุด เลือดบางส่วนจับตัวกันเป็นก้อนแล้วก็มี กระจกหน้าแตกยับทั้งบานกระโปรงรถข้างคนขับเข้าไปอยู่ใต้ท้ายรถพ่วง วินาทีนั้นเราเหมือนตัวจะลอยๆ มึนๆ งงๆ เห็นคนเริ่มจอดรถมากขึ้นเรื่อยๆ เสมือนเราอยู่เป็นเพื่อนกันนั่นแหล่ะครับเราได้ยินพี่คนหนึ่งตะโกนว่า คนขับรถพ่วง "วิ่งหนีเข้าพงหญ้าหนีไปแล้ว" จากนั้นเราก็ค่อยๆเคลื่อนรถออกจากที่เกิดเหตุไปเรื่อยๆด้วยความรู้สึกบางอย่างอย่างบอกไม่ถูกสำหรับผม ภายในรถเราก็เงียบสนิทเลย ไม่มีใครคุยกับใครเลยทุกคนนั่งเฉย สุดท้ายผมทนไม่ได้ผมก็เลยหันไปทางคุณพ่อ แล้วถามว่า "พ่อ ทำไมเค้ายังวิ่งอยู่ตรงหน้าเราหล่ะ" พ่อ หันมาทางผม แล้วบอกว่า " ไม่รู้สิ เค้ายังไม่รู้ตัวมั้ง" ผมก็ได้แต่อึ้งๆ แล้ววันรุ่งขึ้นผมก็รีบหาคำตอบให้ตัวเองทันที
ผมได้รับข้อมูลมาว่า คนที่เพื่งเสียชีวิต ด้วยเหตุการณ์ทันทีทันใดนั้น
ในบางคนดวงจิต หรือที่เราเรียกกันว่าวิญญาณนั้น จะตก หรือกระเด็นออกจากร่างไปได้ ในบางคนที่ดวงชะตายังไม่ถึงฆาต อาจจะมีอำนาจหรือพลังเหนือธรรมชาติบางอย่างที่ทำให้นิมิต ปรากฎเป็นร่างกายขึ้นมาได้ในขณะช่วงเวลาหนึ่ง ทำให้เราสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า จากนั้นร่างกายนั้นก็จะดับสูญไป ผมก็เลยลองเอามาเปรียบเทียบกับรายนี้ดูก็น่าจะมีส่วนเป็นไปได้ ที่ขณะเกิดอุบัติเหตุ มันอาจจะเร็วมากผู้หญิงคนนี้ก็เลยไม่ทันรู้ตัวก่อนตายแล้วแรงกระแทงอาจทำให้เกิดสิ่งน่าเหลือเชื่อขึ้นได้ (อันนี้คิดไปเอง) แหล่ะนี่เป็นแค่ส่วนหนึ่งในอีกหลายๆเรื่องที่เกิดขึ้นกับตัวผมครับ เรื่องหน้ามีเด็ดกว่านี้ครับ ผมรับประกัน.....
ขอขอบคุณเรื่องราวดี ๆ จาก
บล็อคแก๊งดอทคอม
แล้วต้องเดินทางกลับบ้านที่ต่างจังหวัดเพื่อกลับไปเยี่ยมญาติที่จังหวัดพิษณุโลก ตอนเดินทางไปเป็นช่วงเวลากลางวันครับ ซึ่งการเดินทางในครั้งนั้นช่วงขาไปเราใช้เส้นทางสายเอเซียครับซึ่งรถจะค่อนข้างเยอะทีเดียวมีทั้งรถทั่วไปแล้วก็ส่วนมากจะเป็นรถบรรทุกซะเยอะ ซึ่งคนที่เคยใช้ถนนสายหลักนี้คงพอจะรู้จักกันดี ตอนขาไปก็ดีครับการเดินปลอดภัยไร้กังวลเพราะมันเป็นช่วงกลางคืน แต่หลังจากเยี่ยมเยียนญาติเรียบร้อยแล้วเราก็ต้องรีบเดินทางกลับกันครับเราเดินทางกันไป3คนครับโดยมีคุณพ่อเป็นคนขับส่วนคุณแม่นั่งอยู่เบาะหลัง แล้วผมนั่งอยู่เบาะหน้าข้างคุณพ่อ
ขากลับพวกเราตกลงกันว่าเราจะใช้เส้นทางลัดคือที่เค้าเรียกกันว่า สายตากฟ้า
เพราะรถค่อนข้างน้อยกว่าสายเอเซียและก็ย่นระยะทางได้หลายสิบกิโลเมตรเลยทีเดียว ซึ่งตอนนั้นถนนสายนี้ยังไม่ค่อยมีคนใช้มากนักเพราะเนื่องจากค่อนข้างเปลี่ยว นานๆถึงจะเจอเพื่อนร่วมเดินทางสักคันหนึ่ง แล้วรถส่วนมากก็จะขับค่อนข้างเร็วครับเพราะถนนมันโล่งแล้วก็จะไม่อยากช้าเพราะกลัวอาชญากรรม เพราะฉนั้นผู้คนที่จะใช้เส้นทางสายนี้ส่วนมากก็จะถือว่าจำเป็นจริงๆนั่นหล่ะครับถึงจะมาใช้กัน เพราะถ้าเกิดรถราเกิดเสียระหว่างทางขึ้นมาละก็ บอกได้เลยว่าอันตรายมากๆครับ แล้วก็ยากที่จะหาคนมีน้ำใจช่วยคุณได้เพราะรถคันอื่นเค้าก็กลัวว่าจะเป็นแผนการของมิฉจาชีพหรือเปล่าไม่มีใครจอดช่วยคุณอย่างแน่นอนครับ ด้วยเหตุนี้เองที่ทำให้รถวิ่งเร็วซะจนปลิวได้ เราก็ขับด้วยความเร็วอยู่เหมือนครับ
แต่แล้วเราทั้ง3 คนก็เจอเหตุการณ์ประหลาดบางอย่างอยู่ริมถนนข้างซ้ายฝั่งที่ผมนั่งอยู่
เราเห็นผู้หญิงคนหนึงกำลังวิ่งสวนทางมาด้วยสีหน้าตื่นตระหนกเธอโบกมือเหมือนกำลังขอความช่วยเหลือเราทั้ง3คนเห็นเหมือนกันเธอใส่เสื้อยืดสีขาวกางเกงยีน ตัดผมสั้น แล้วตามตัวและเสื้อผ้าเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดแต่ไม่มาก ขณะที่เราขับรถเดินหน้าไปด้วยความเร็วนั้นผู้หญิงคนนี้ก็ยังวิ่งสวนทางเราอยู่เหมือนเดิมระยะห่างเท่าเดิมอยู่ตรงหน้าเราเหมือนเดิมโดยหลักความเป็นจริงแล้วในขณะที่รถเรายังวิ่งอยู่ก็ย่อมที่จะเลยผ่านสิ่งต่างๆไปแต่นี่รถยิ่งวิ่งเคลื่อนที่ไปแต่ผู้หญิงคนนี้ก็ยังวิ่งอยู่ตรงหน้าเราเหมือนเดิมไม่ผ่านเลยไปสักทีพอขับมาได้สัก 500 เมตร เราก็ต้องเหยียบเบรคตัวโก่งเพราะข้างหน้าเรานั้นมีอะไรบางอย่างตกอยู่ตรงหน้าพอไฟหน้ารถสาดส่องไปที่วัตถุนั้นอย่างเต็มๆตา ผมก็ตกใจสุดขีด ตกตะลึงกับภาพที่เห็นตรงหน้า ผมอ้าปากค้าง ตายังคงจ้องไปที่สิ่งนั้นอยู่ มันคือศรีษะของชายคนหนึ่งหันหน้ามาทางเรา ดวงตาเบิกโพง มีเลือดออกทางจมูกและตาทั้งสองข้าง และไม่มีคอ มีแต่หัว เลือดไหลทะลักกองเต็มพื้นถนน
แล้วผมก็หันไปมองผ่านกระจกรถเห็นรถเก๋งคันหนึ่งประสบอุบัติเหตุชนกับรถพ่วง 2 ตอน จอดแน่นิ่งอยู่
ทั้งๆที่เครื่องยนต์ยังติดอยู่ ไฟรถก็ยังเปิดอยู่ พ่อผมพยายามเรียกสติคืนมาแล้วก็หันพวงมาลัยหักหลบ ศีรษะของผู้ชายคนนั้นอย่างลุ้นระทึก เราทะลอรถดูเผื่อจะช่วยอะไรได้บ้างหรือเปล่า แล้วรถบัสฝั่งถนนตรงข้ามก็จอดรถแล้วก็มีคนวิ่งลงมาดูประมาณ4-5 คน ต่างก็พร้อมใจกันรีบโทรศัพท์กันยกใหญ่ ผมเปิดกระจกลงแล้วมองเข้าไปในรถคันนั้นก็ต้องตกใจสุดขีดอีกครั้งเมื่อเห็นว่า เบาะหลังคนขับนั้นมีผู้หญิงท้อง 1 คน คาดว่าน่าจะคอหักเสียชีวิต แล้วที่ทำให้เราต้องผวาคือผู้หญิงที่นั่งคู่กับหญิงท้อง ช่างเหมือนกับผู้หญิงที่กำลังวิ่งสวนทางกับเราเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมานี้เอง เธอคอหักแล้วก็คงถูกกระแทกอย่างแรงเสียชีวิตมีเลือดเปรอะเปื้อนเสื้อผ้าเหมือนกับที่เราเห็นเปะ ด้านหน้าฝั่งข้างคนขับโดนอัดก๊อปปี้ยุบทั้งแถบส่วน
ภาพที่ผมจำไม่เคยรบเลือนจนกระทั่งบัดนี้ก็คงจะเป็น คนขับนี่แหล่ะครับ
เหลือแต่ตัวเลือดพุ่งยังไม่หยุด เลือดบางส่วนจับตัวกันเป็นก้อนแล้วก็มี กระจกหน้าแตกยับทั้งบานกระโปรงรถข้างคนขับเข้าไปอยู่ใต้ท้ายรถพ่วง วินาทีนั้นเราเหมือนตัวจะลอยๆ มึนๆ งงๆ เห็นคนเริ่มจอดรถมากขึ้นเรื่อยๆ เสมือนเราอยู่เป็นเพื่อนกันนั่นแหล่ะครับเราได้ยินพี่คนหนึ่งตะโกนว่า คนขับรถพ่วง "วิ่งหนีเข้าพงหญ้าหนีไปแล้ว" จากนั้นเราก็ค่อยๆเคลื่อนรถออกจากที่เกิดเหตุไปเรื่อยๆด้วยความรู้สึกบางอย่างอย่างบอกไม่ถูกสำหรับผม ภายในรถเราก็เงียบสนิทเลย ไม่มีใครคุยกับใครเลยทุกคนนั่งเฉย สุดท้ายผมทนไม่ได้ผมก็เลยหันไปทางคุณพ่อ แล้วถามว่า "พ่อ ทำไมเค้ายังวิ่งอยู่ตรงหน้าเราหล่ะ" พ่อ หันมาทางผม แล้วบอกว่า " ไม่รู้สิ เค้ายังไม่รู้ตัวมั้ง" ผมก็ได้แต่อึ้งๆ แล้ววันรุ่งขึ้นผมก็รีบหาคำตอบให้ตัวเองทันที
ผมได้รับข้อมูลมาว่า คนที่เพื่งเสียชีวิต ด้วยเหตุการณ์ทันทีทันใดนั้น
ในบางคนดวงจิต หรือที่เราเรียกกันว่าวิญญาณนั้น จะตก หรือกระเด็นออกจากร่างไปได้ ในบางคนที่ดวงชะตายังไม่ถึงฆาต อาจจะมีอำนาจหรือพลังเหนือธรรมชาติบางอย่างที่ทำให้นิมิต ปรากฎเป็นร่างกายขึ้นมาได้ในขณะช่วงเวลาหนึ่ง ทำให้เราสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า จากนั้นร่างกายนั้นก็จะดับสูญไป ผมก็เลยลองเอามาเปรียบเทียบกับรายนี้ดูก็น่าจะมีส่วนเป็นไปได้ ที่ขณะเกิดอุบัติเหตุ มันอาจจะเร็วมากผู้หญิงคนนี้ก็เลยไม่ทันรู้ตัวก่อนตายแล้วแรงกระแทงอาจทำให้เกิดสิ่งน่าเหลือเชื่อขึ้นได้ (อันนี้คิดไปเอง) แหล่ะนี่เป็นแค่ส่วนหนึ่งในอีกหลายๆเรื่องที่เกิดขึ้นกับตัวผมครับ เรื่องหน้ามีเด็ดกว่านี้ครับ ผมรับประกัน.....
ขอขอบคุณเรื่องราวดี ๆ จาก
บล็อคแก๊งดอทคอม
เครดิต :
ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!