เรื่องเล่าจากตึกปั้น วังท่าพระ


เรื่องเล่าจากตึกปั้น วังท่าพระ

มีเรื่องเล่าตกทอดกันมาหลายรุ่น ดิฉันพลอยได้ฟังก็เลยจะถ่ายทอดต่อให้คนนอก "วังท่าพระ" ได้มีโอกาส บรื๋อ..อ.. บ้าง

วังท่าพระ ที่ว่านี้ เป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยศิลปากร ซึ่งมีคณะที่สอนอยู่ 4 คณะ คือ จิตรกรรมฯ มัณฑนศิลป์ สถาปัตยกรรมและโบราณคดี ดิฉันจบจิตรกรรมฯ ค่ะ ชื่อเต็มของคณะไม่กล้ายืนยันว่ายาวที่สุดในประเทศไทยหรือเปล่า (ถ้าเพื่อนๆ มีชื่อคณะของมหาวิทยาลัยที่ยาวกว่านี้ก็ช่วยบอกเล่าแบ่งปันกันนะคะ) ชื่อเต็มของคณะคือ คณะจิตรกรรมประติมากรรมและภาพพิมพ์ (ร่ำๆ ว่าจะเพิ่ม.. และภาพไทย เข้าไปอีก) ความบรื๋อ..ของเรื่องไม่ได้อยู่ที่ชื่อคณะหรอกค่ะ แต่เป็นที่ตึกเรียน

ตึกเรียนหลักของคณะจิตรกรรมฯ ตั้งอยู่ทั้งสองด้านของอนุสาวรีย์อาจารย์ศิลป

ถ้าเพื่อนๆ หันหน้าเข้าหาอนุสาวรีย์ ด้านขวาจะเป็นตึกเรียนวิชาทฤษฎีและปฎิบัติการวาดเส้นและศิลปไทย (เมื่อประมาณ 20 ปีที่แล้ว เดี๋ยวนี้ยังใช้สอนวิชานี้เหมือนเดิมหรือเปล่าไม่รู้ค่ะ) ด้านซ้ายเป็นตึกทำการเรียนการสอนวิชาประติมากรรมหรือเราเรียกกันง่ายๆ ว่าตึกปั้น เจ้าตึกปั้นเนี่ย เป็นอาคารสองชั้นเพดานสูง ชั้นบนเป็นส่วนของรุ่นพี่ ส่วนใหญ่จะเป็นงานถอดพิมพ์และพวกงานโลหะต่างๆ ชั้นล่างจะเป็นส่วนของรุ่นน้อง ซึ่งเป็นงานปั้นดินเหนียว ชั้นล่างนี่จะแบ่งเป็นสองส่วน ส่วนหน้าเป็นโถงโล่งกว้างเพื่อสะดวกในการวางแป้นปั้น ส่วนด้านในจัดแบ่งเป็นที่เก็บดิน อุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องและห้องน้ำ

เด็กจิดกำ (เราชอบเรียกกันอย่างนั้น) ส่วนใหญ่มักจะกินนอนกันที่คณะ

บางคนสิงสถิตย์อยู่คณะตั้งแต่เข้าเรียนปีหนึ่งจนปีห้า หนักกว่านั้นเรียนจบจนทำงานแล้วก็ยังสิงอยู่จนรุ่นน้องต้องมาเชิญให้ย้ายออกไปซะทีเพราะอยากเข้ามาอยู่มั่ง (เช่นดิฉันเป็นต้น) วันไหนที่มีงานต้องส่งวันรุ่งขึ้น เด็กจิดกำทั้งหลายก็จะออกมาลุยงานกันจนสว่างคาตาเลยก็มี คืนนั้น เราลุยงานที่ตึกปั้นจนค่ำ เพราะพรุ่งนี้ต้องมีส่งงานตอนบ่าย ทำกันไป คุยกันไปจนร่วมเที่ยงคืน "ครืด... โครก..." เสียงกดชักโครกและน้ำวนหมุนลงชักโครกดังแทรกเข้ามา

นิ่ง.... ไม่มีใครสนใจอะไร ยังคงทำงานและคุยเสียงดังกันต่อไป

"ครืด... โครก..." เสียงกดชักโครกและน้ำวนหมุนลงชักโครก ดังขึ้นมาอีกครั้ง คราวนี้มีบางคนทักขึ้น "ใครอยู่ห้องน้ำวะ" เกือบพร้อมกัน ต่างคนต่างมองสำรวจจำนวนเพื่อนเพื่อหาคำตอบว่าใครไปเข้าห้องน้ำ

ครบค่ะ ทุกคนยืนทำงานอยู่ที่แป้นปั้นดินของตัวเองครบ ไม่มีใครแว้บไปห้องน้ำ
แล้วใครล่ะ กดชักโครกอยู่ครืดๆ

ผู้กล้าชวนกันเข้าไปดูให้หายสงสัย ไม่มีค่ะ ไม่มีใครสักคน ห้องน้ำก็แห้ง ไม่มีรอยน้ำกระเพื่อมในชักโครกเลย

จะว่ามีคนนอกตึกเข้ามาใช้ก็เป็นไปไม่ได้แน่ เพราะอย่างที่บอก เราทำงานปั้นกันอยู่ส่วนหน้าของอาคาร ซึ่งติดอยู่กับประตูทางเข้าที่เปิดแง้มอยู่ ถ้ามีใครเข้ามาก็จะต้องเดินผ่านกลุ่มของพวกเรา คืนนั้น ไม่มีใครอยากลุยงานต่อแล้วค่ะ ฝากอนาคตไว้กับพรุ่งนี้เช้า เพราะอาจารย์ตรวจงานตอนบ่ายสามโน่นแน่ะกว่าจะหลับ ก็เลยมีเรื่องบรื๋อ... บรื๋อ... มาเล่ากันยกใหญ่ หนึ่งในเรื่องนั้นก็เป็นเรื่องตึกเรียนอีกนั่นแหละ คราวนี้เป็นเรื่องตึกเรียนวิชาศิลปไทย (ตึกที่ตั้งอยู่ด้านขวาของอนุสาวรีย์อาจารย์ศิลปนั่นแหละ)

คืนนั้น (อีกแล้ว) รุ่นพี่ 4-5 คน ทำงานจนดึก

ก็ชวนกันออกไปหาอะไรกินแถวท่าช้าง แต่มีอยู่คนหนึ่งเกิดขยันติดลมหรือขี้เกียจเดินก็ไม่รู้ ก็เลยไม่ได้ไปนั่งทำงานต่ออยู่คนเดียว พี่แกทำงานจนเพลินไม่รู้ว่าเพื่อนออกไปกันนานเท่าไหร่แล้ว จู่ๆ ก็มีเงาคนทาบทับมาบนเฟรมที่เขากำลังเขียนรูปอยู่ เงานั่นนิ่งอยู่พักหนึ่งก็เหมือนวูบชะโงกเข้ามาดูพี่แกคิดว่าเพื่อนกลับมาจากกินข้าวแล้ว ก็เลยทักออกไป

"เฮ้ย.... กลับมากันแล้วเรอะ มีอะไรกินบ้าง"

เงียบ... พี่แกเหลียวไปดูข้างหลังก็ไม่มีใคร ก็เลยหันกลับมาทำงานต่อไม่ได้คิดอะไร สักพักคราวนี้เพื่อนพี่แกกลับมากันจริงๆ เสียงคุยดังลั่นมาแต่ไกล พอมาถึงพี่แกก็เลยถามว่าเมื่อกี้ใครมาถึงก่อน ทักก็ไม่ตอบ เพื่อนทั้งกลุ่มก็บอกว่าเปล่า เพิ่งเข้ามาพร้อมกันนี่แหละ บรื๋อ... ค่ะ แล้วเงาคนที่ทอดมาบนเฟรมงานนั่น ใคร...ดิฉันจะย้อนอธิบายถึงลักษณะของห้องที่พี่แกนั่งทำงานอีกทีนะคะ ห้องที่ว่า อยู่บนอาคารที่อยู่ด้านขวาของลานอาจารย์ศิลป พูดง่ายๆ ก็อยู่ตรงข้ามตึกปั้นนั่นแหละค่ะ เป็นห้องปฎิบัติงานภาพไทย หน้าห้องเป็นระเบียงทางเดิน กว้างประมาณสองช่วงแขน มีกำแพงสูงประมาณครึ่งอก พ้นจากกำแพงออกไปเป็นอากาศ ค่ะ เป็นอากาศจริงๆ เพราะห้องนี่อยู่ชั้นสอง มองออกไปนอกกำแพงเป็นลานอาจารย์ศิลป และตึกปั้นกับต้นจันทร์ใหญ่ อายุเป็นร้อยมั้ง ไม่มีไฟส่องสว่างจากหน้าประตูห้อง เพราะฉะนั้น ความสว่างที่เกิดขึ้นจะมาจากแสงสว่างในห้องเท่านั้น

ทีนี้กลับไปที่เงาคนอีกที มันเกิดได้ไงเนี่ย ตามหลักวิทยาศาสตร์ที่เราเรียนมาแต่เด็ก

เงาจะเกิดได้ก็ต่อเมื่อมีวัตถุมาบังแสง หรือวัตถุขวางหน้าแสง ทีนี้พี่แกนั่งหันหลังให้ประตูห้องซึ่งไม่มีแสงจากข้างนอก เงาที่เกิดและทอดทาบมาบนเฟรมแกได้จะต้องมาจากวัตถุหรืออะไรก็ตามที่อยู่ด้านหน้าแกเท่านั้น แต่ตอนนั้น พี่แกนั่งทำงานคนเดียวในห้อง ไม่มีใครยืนขวางไฟด้านหน้าแก ไม่มีใครเลยจริงๆ เรื่องเล่าจบลงแค่นี้ ไม่รู้ว่าพี่แกจัดการยังไงต่อไปกับชีวิต....


ขอบคุณเรื่องเล่าจาก
"คุณน้ำตาล"บล็อคแก๊งดอทคอม


เครดิต :

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์