ผีโกรธ ที่แฟลตดินแดง


ผีโกรธ ที่แฟลตดินแดง

ข้าพเจ้าย้ายเข้ามาอยู่ที่แฟลตดินแดงเมื่อประมาณปลายปี ๒๕๒๘

เป็นแฟลตที่แม่เซ้งไว้ นับตั้งแต่น้องชายย้ายกลับไปอยู่บ้านนานแล้วปิดไว้ไม่มีใครเข้าไปอยู่ น้องสาวข้าพเจ้ามาขอร้องให้ย้ายเข้าไปอยู่ เพราะเห็นว่าใกล้ที่ทำงานข้าพเจ้า และที่สำคัญน้องสาวจะได้ไม่ต้องจ่ายค่าส่วนกลางที่กำลังเป็นภาระอยู่ด้วย (คิดเองนะ) ก่อนเข้าอยู่ก็จ้างช่างเข้ามาปรับปรุงห้องก่อน ซึ่งมีปัญหานานา ๆ ประการ จนรู้สึกแปลกใจ เพราะพอเข้าอยู่ก็เริ่มรู้สึกผิดปกติมากขึ้น เช่น ตื่นมากลางดึก จะได้ยินเสียงโซฟาหวายในห้องดัง เอียด อาด เหมือนมีคนนอนอยู่แล้วขยับพลิกตัวไปมา (ได้ยินทุกคืน) รู้สึกหวาด ๆ อยู่บ้าง

พอปีใหม่ ใต้ถุนแฟลตมีการทำบุญเลี้ยงพระปีใหม่ ข้าพเจ้าจึงนำอาหารไปร่วมทำบุญด้วย ก่อนไปก็ตะโกนบอกกลางห้องว่า

นี่เดี๋ยวจะทำบุญอุทิศไปให้ ช่วยโมทนาบุญด้วยนะจะได้ไปเกิดเสียที ข้าพเจ้าไม่ทราบว่าจะทำให้วิญญาณไม่พอใจ เหมือนเราไปไล่เขาให้ออกไปจากห้องนั้น เพราะหลังจากทำบุญเสร็จแล้วข้าพเจ้าจะไขกุญแจเข้าห้อง ขณะนั้นอยู่ ๆ ทั้งกุญแจและมือถือก็ตกกับพื้นอย่างแรงเหมือนถูกปัด เพราะหลุดจากมือทั้ง ๆที่มือกำไว้แน่น และมีเหตุการณ์อีก ๒ -๓ อย่าง แต่จำไม่ได้แล้ว สัปดาห์ต่อมาขณะข้าพเจ้านอนกำลังจะหลับ ๆ อยู่ ก็รู้สึกถูกผีอำเพราะเกิดอาการขยับตัว และพูดออกเสียงไม่ได้ มีบางอย่างนอนทับร่างข้าพเจ้า เหมือนพยายามจะเข้าร่างข้าพเจ้าอย่างนั้นล่ะ รู้สึกกลัวมากพยายามดิ้นสุดฤทธิ์ จนตื่นขึ้นมาได้

คืนต่อมาก็จะรู้สึกว่าพอนอนเคลิ้ม ๆ จะรู้สึกเสียวแปลบ ๆ ที่ปลายเท้าจนต้องหดเท้าเข้าหาตัว เป็นอยู่ ๕ ครั้งได้ จนหลับไป

แต่ในครั้งหลัง ๆ ที่รู้ว่าถูกดึงเพราะระหว่างที่หดเท้ากลับก็ถูกดึงกลับทันทีเหมือนชักเย่อ แต่ข้าพเจ้าง่วงนอนมากเลยลืมกลัว หลังจากนั้นก็ถูกดึงเท้าเรื่อย ๆ ข้าพเจ้าก็รู้สึกว่าเริ่มชินเสียแล้ว (ไม่สนใจ !!นอนลูกเดียว ครอกกกกกก.....) คืนต่อมาประมาณตี ๒ - ๓ เกิดรู้สึกตัว ได้ยินเสียงกรนของคนนอนหลับดังชัดเจนมาก ก็ลุกขึ้นเข้าห้องน้ำ ระหว่างอยู่ในห้องน้ำได้ยินเสียงเหมือนคนเดินลงส้นขึ้นบันไดชั้นลอยที่ห้อง (ในห้องมีต่อชั้นลอยเอาไว้ด้วย) บันไดทางขึ้นอยู่ข้างประตูห้องน้ำ ถ้าข้าพเจ้าเปิดประตูเดินออกมาก็จะมองเห็นชัดเจนแน่นอนถ้ามีอะไรอยู่จริง ตอนนั้นถามว่ากลัวไหม มันตอบไม่ถูกเพราะเริ่มชินหรือเปล่าก็ไม่รู้ ทำให้ข้าพเจ้าเดินออกจากห้องน้ำหลังจากเสร็จธุระอย่างไม่ต้องลังเล และเงยหน้ามองไปบนชั้นลอย ก็เห็นเป็นผู้ชายลาง ๆ นั่งอยู่ลักษณะตัดผมสั้นจนเกือบเกรียนกำยำไม่สูงมาก (ลักษณะกำยำแข็งแรงแบบพี่น้องภาคตะวันออกเฉียงเหนือ)

ข้าพเจ้าเห็นแล้วก็เดินผ่านบันไดไปเฉย ๆ ไม่รู้สึกกลัว (เชื่อกันไหมเนี้ย)

และไม่หยุดยืนมอง กลับมานอนคิดว่า....เอ....วิญญาณตนนี้ตอนมีชีวิตอยู่คงจะเป็นคนเจ้าอารมณ์น่าดูเลย พอตายไปแล้วก็ยังพกพาเอาอารมณ์เหล่านี้ไปด้วย เพราะแกเดินขึ้นบันไดกระแทกส้นเหมือนไม่สบอารมณ์อะไรสักอย่าง (เดานะ!ว่าคงกำลังหลับอยู่ แล้วข้าพเจ้าลุกเข้าห้องน้ำ แกคงตื่นแบบนอนไม่เต็มอิ่ม เหมือนคนขี้เซาทั่วไป..) แสดงว่าวิญญาณที่มีกิเลส โลภ โกรธ หลง อยู่มาก ทำให้ไม่มีกะใจรับบุญกุศล ถึงจะมีคนทำบุญไปให้ก็ไม่อยากได้ และจิตที่มีกิเลสเกาะหนักนั้น ทำให้มีน้ำหนักมาก แม้ไม่มีร่างกายแล้ว วิญญาณก็ทำให้เดินเสียงดังได้ (เดินด้วยอารมย์)

ทำให้ได้ความรู้ใหม่ว่า...ตอนเป็นคนมีนิสัยอย่างไร พอตายไปแล้วก็ยังมีนิสัยอย่างนั้นอยู่

แสดงว่าคนเราตายเพียงแต่ร่างกายเท่านั้น อย่างนี้เองอาจารย์จึงสอนเสมอว่า ให้ละกิเลส โลภ โกรธ หลง ก่อนตายให้ได้ เพราะถ้าตายแล้วไม่สามารถทำได้ จึงควรเร่งปฏิบัติให้มากที่สุด เพื่อจะได้หมดทุกข์เร็ว ๆ พอความคิดนี้ผุดขึ้นมา ข้าพเจ้ารู้สึกกลัวว่าตนเองจะตายเร็ว เพราะข้าพเจ้าไม่สามารถรู้วันตายของตัวเองได้ และทุกวันนี้ข้าพเจ้าก็ยังมีความโกรธอยู่ ความโลภ (เล็กน้อย) ความหลง (มาก) อยู่เลย แล้วถ้าเกิดตายลงไปตอนนี้ ไอ้ที่ได้กินของถูกใจ ได้เที่ยวตามใจ ได้นอนที่สบาย มันก็ไม่ได้แล้ว คงจะทรมานไม่ต่างอะไรกับวิญญาณที่อยู่ในห้องของเราตอนนี้แน่เลย อารมย์ต่าง ๆ ที่วิญญาณตนนี่มีจึงทำให้วิญญาณต้องติดอยู่ ที่นี่จะไปไหนตามที่อยากไปก็ไม่ได้ (ถ้าไปได้แกคงไปนานแล้ว) พูดบอกใครก็ไม่ได้ ไหนจะคิดถึงคนที่เรารักอีก โอ้ย.....ช่างทรมานน่าดู คิดแล้วเกิดความสงสารวิญญาณนั้น มากกว่าความกลัว แต่กลับกลัวกิเลสที่ข้าพเจ้ายังละวางไม่ได้ มากที่สุด จึงไม่มีอารมณ์จะนอนต่อแล้ว ลุกขึ้นอาบน้ำสวดมนต์ ทำสมาธิยาวเลย และไม่ลืมอุทิศให้กับวิญญาณที่เห็นนั้นด้วย (ไม่รู้จะได้หรือเปล่า..ขณะนั้น) ข้าพเจ้าเล่าให้ใคร ๆ ฟัง ดูสีหน้าแล้วเค้าไม่ค่อยจะเชื่อข้าพเจ้ากันเท่าไหร่ (เหมือนบ้าอยู่คนเดียว)

อยู่มาวันหนึ่ง ข้าพเจ้าก็มีพยานบุคคลเรื่องนี้จนได้

คือ มีป้าคนหนึ่งมาจากจังหวัดอ่างทอง มาพักที่ห้องของข้าพเจ้าเพื่อรอจะเดินทางไปเหนือช่วงตอนกลางคืน กลางวันป้าแกอยู่ในห้องคนเดียว พอตอนเย็นข้าพเจ้ากลับมา แกรีบเล่าเรื่องที่แกเจอตอนกลางวันให้ข้าพเจ้าฟังใหญ่เลย ว่าพอหลังจากข้าพเจ้าออกจากห้องไปแล้ว ป้าก็เอาหนังสือสวดมนต์ที่เห็นข้าพเจ้าสวดมนต์ไปเมื่อเช้ามานั่งดู นั่งไปนั่งมา ก็นอนดู แล้วก็นอนหลับไปเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ (แกนอนหันหัวไปทางทิศตะวันตกด้วย) มารู้สึกตัวอีกทีหนึ่ง ก็เห็นตนเองนอนอยู่ที่เดิมแล้วเห็นมีผู้ชายวัยกลางคน ๆ หนึ่งมานั่งร้องไห้อยู่ข้าง ๆ ป้า

ป้าแกก็ถามว่า "เป็นใคร ร้องไห้ทำไม"
แกบอกว่า "คิดถึงเมีย"
ป้าถามว่า "แล้วเมียไปไหนเสียล่ะ"
ผู้ชายคนนั้นตอบว่า เมียผมตายไปแล้ว พูดแล้วก็นั่งร้องไห้ต่อไป

ข้าพเจ้ารีบบอกถึงลักษณะของผู้ชายคนนั้นตามที่ข้าพเจ้าเคยเห็นในห้อง ซึ่งป้าก็บอกว่าใช่ลักษณะตรงกันทุกอย่าง แล้วป้าก็เล่าต่อว่าป้าก็รู้สึกสงสารผู้ชายคนนั้น เพราะป้าเองก็เป็นหม้ายเหมือนกัน ต่างคนต่างเป็นหม้าย จึงพูดกับผู้ชายคนนั้นว่า "เรามาอยู่ด้วยกันดีไหม" (ข้าพเจ้าคิดในใจ โธ่...ป้าทำไมใจง่าย อย่างนี้......) ผู้ชายคนนั้นก็ลุกขึ้นเดินออกไปทางด้านหลังของห้อง ป้าแกก็ลุกเดินตามไป แต่ผู้ชายคนนั้นเดินเร็วมาก และไม่หันมาบอกเลยว่าจะไปทางไหน ทำให้แกเดินตามไม่ทันจึงหยุดตามแล้วก็ตื่นขึ้นมา

ข้าพเจ้านำเรื่องนี้ ไปเล่าให้อาจารย์ฟัง
อาจารย์บอกว่า "เธอเกือบจะถูกแจ๊กพ็อตแล้ว..."
ข้าพเจ้าถามว่า "แจ๊กพ็อตอย่างไง"
อาจารย์พูดว่า "อ้าว...ก็เกือบจะมีคนแก่มาตายในห้องเธอแล้วยังไงล่ะ เพราะถ้าแกเดินตามผีตัวนั้นไป แกก็ต้องตายนะซิ"

ข้าพเจ้ารู้สึกตกใจ คิดได้ว่า เออ....ถ้าป้าแกมาตายในห้องเรา คงจะเป็นเรื่องใหญ่แน่

ไหนจะถูกญาติของป้า ไหนจะถูกแม่เราเล่นงาน คงวุ่นวายน่าดู แต่ปัจจุบันนี้ ป้าคนนั้นก็ได้เสียชีวิตไปแล้วเมื่อปลายปี ๒๕๓๙ นั่นเอง เมื่อข้าพเจ้ามีความมั่นใจว่า ห้องที่อยู่มีวิญญาณอยู่ด้วยแน่ ๆ จึงอุทิศบุญกุศลให้วิญญาณตนนั้นทุกครั้งที่ สวดวัตรเช้า และสวดวัตรเย็น เสร็จแล้ว จนกระทั่งคืนหนึ่ง ข้าพเจ้าฝันเห็นผู้ชายคนเดิมมานั่งอยู่ที่โซฟาหวาย แต่หน้าตาและการแต่งตัวไม่เหมือนที่เคยเห็นจนตอนแรกเห็นจำแทบไม่ได้ ใส่เสื้อผ้าใหม่เหมือนคนจะไปงานมงคลตามต่างจังหวัดอย่างนั้นล่ะ ในฝัน

ข้าพเจ้าถามเขาว่า "ยังอยู่อีกหรือ?" (โดยส่วนตัว ก็ยังงงว่าทำไม่เราถึงไปถามเขาอย่างนั้น)

ได้คำตอบว่า "รอเพื่อน อยากให้เพื่อนได้อย่างนี้บ้าง"

ซึ่งข้าพเจ้าก็ไม่เข้าใจว่า ได้อย่างไง เพราะฝันเพียงแค่นั้นเอง ก็ตื่นขึ้นมา

เรื่องที่เล่ามานี้ วิญญาณตนนี้ แกคิดถึงเมียที่ตายก่อนที่แกจะตาย พอแกตาย คงคิดว่าจะได้ไปเจอกัน แต่พอตายไปจริง ๆ ไม่เจอกัน แถมยังไม่ไหนไม่ได้อีก ก็เลยเสียอกเสียใจใหญ่ เหตุการณ์ที่แฟลตนี้ ทำให้ข้าพเจ้าได้ความรู้ใหม่และพิสูจน์คำสอนของพระพุทธเจ้าที่ท่าน ทรงตรัสสอนว่า....การยึดติดสิ่งใด ๆ ก็แล้วแต่ไม่ว่าจะเป็น ติดลูก ติดเมีย-ผัว ติดทรัพย์ ติดยศ ติดตำแหน่ง สิ่งเหล่านี้ทำให้จิตเป็นทุกข์ไม่สามารถนำพาจิตของตนไปสู่ที่สุขสบายได้เลย


ขอบคุณเรื่องเล่าจาก
พลังจิตดอทคอม


เครดิต :

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์