ไปงานศพ


ไปงานศพ

"ชาลิสา" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากคืนสวดศพ

ญาติมิตรของดิฉันหลายคนไม่ยอมไปเยี่ยมไข้ที่โรงพยาบาล อ้างว่าที่นั่นเป็นแหล่งรวมของโรคร้ายนานาชนิด ร่างกายตัวเองก็ไม่แข็งแรงพอ อาจจะได้รับเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายได้ง่ายๆ ขอไม่เสี่ยงดีกว่าค่ะ เรื่องนี้พอจะมีเหตุผลรับฟังได้นะคะ ยกเว้นแต่จำเป็นจริงๆ เช่นพ่อแม่หรือลูกเต้าต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล ต่อให้กลัวแค่ไหนก็ต้องไปเยี่ยม ไปเฝ้าไข้อยู่ดี

หนักกว่านั้นคือ ไม่ยอมไปงานศพเด็ดขาด!

ทุกคนจะพูดตรงกันว่า หมู่นี้ดวงไม่ดี แถมไม่รู้ว่าดวงของผู้ตายจะ "ชง" กับของตัวเองหรือเปล่า? พูดง่ายๆ คือดวงไม่สมพงศ์กัน อาจจะทำให้ "ดวงตก" ยิ่งกว่าเก่า อย่างมากก็สั่งพวงหรีดไปเคารพศพ หรือส่งซองช่วยทำบุญเท่านั้นเอง ความเชื่อถือของคนเราย่อมจะแตกต่างกันอยู่แล้ว ไม่ว่าใครก็ย่อมมีเหตุผลของตนเอง ไม่ใช่เรื่องน่าตำหนิติเตียนใดๆ หรอกค่ะ ดิฉันไม่ใช่คนที่ถือเคร่งขนาดนั้นมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ญาติมิตรคนไหนเจ็บไข้ก็ไปเยี่ยม ไม่ว่าจะเป็นที่บ้านหรือโรงพยาบาล ยิ่งงานศพด้วยแล้วถือนัก ถ้าคนรู้จักกัน สนิทสนมตามสมควร ไม่ว่าญาติเขาจะเชิญหรือไม่ก็ต้องไปค่ะ...เป็นการพบกัน แสดงน้ำใจต่อกัน และให้เกียรติกันเป็นครั้งสุดท้าย

จนกระทั่งถึงงานศพครั้งหนึ่ง ทำให้ดิฉันประสบกับเหตุการณ์น่าขนหัวลุก...

แม้ว่าเวลาจะผ่านมาหลายปีแล้ว แต่เมื่อนึกถึงภาพนั้นทีไรก็ทำให้ปากคอแห้งผากทุกครั้งไป ดิฉันทำงานอยู่ที่บริษัทรับเหมาก่อสร้างแห่งหนึ่งแถวสามย่าน ใกล้ๆ กับสถาบันที่เรียนจบมา แต่บ้านอยู่ค่อนข้างไกลคือซอยพระนาง ผิดกับเพื่อนๆในบริษัทอีก 2-3 คนที่อยู่แถวรองเมือง หรือไม่ก็แถวสุริยวงศ์ สีลม เพื่อนๆ ที่บ้านอยู่ใกล้บริษัทก็ล้วนแต่เป็นเพื่อนสนิททุกคนเลยค่ะ! น่าแปลกอย่างที่ดิฉันต้องไปเยี่ยมเพื่อนสนิทที่โรงพยาบาลบ่อยครั้ง เดี๋ยวยายเหมียวเป็นหืดหอบอาการหนักต้องเข้าเลิดสิน เดี๋ยวยายมิ้นต์เกิดเป็นไข้เลือดออกต้องไปนอนจุฬาฯ เดี๋ยวพี่ชุดาเป็นลมหมดสติเพราะความดันโลหิตต่ำ ต้องช่วยกันพาเข้าคลินิกใกล้ๆ บริษัท เล่นเอาตื่นเต้นตกใจไปตามๆ กัน

ที่นับว่าร้ายกาจสุดๆ คือสามีพี่จุ๋มประสบอุบัติเหตุ ตอนที่ขับรถออกจากบ้านในซอยข้างวัดแขก

โดยรถเมล์เบรกแตกพุ่งเข้าชนจนพี่นพคอหักตายคาที่! วันนั้นตรงกับวันเสาร์ พี่นพทำงานบริษัทขายเครื่องไฟฟ้า บอกว่ามีงานด่วนครึ่งวัน...ถ้าเป็นวันธรรมดาที่เขาขับรถมาส่งพี่จุ๋มที่บริษัทก่อน? พวกเราคงต้องเสียพี่จุ๋มไปด้วยแน่ๆ ไม่ต้องเล่าถึงความโศกเศร้าของพี่จุ๋มก็ได้นะคะ เธอเป็นลมแล้วเป็นลมอีก...ทั้งคู่เพิ่งแต่งงานกันได้ราวปีเศษ ก่อนที่ดิฉันจะเข้าทำงานไม่กี่เดือน...พวกเราเคยพบพี่นพหลายครั้งเมื่อเขาขับรถมารับพี่จุ๋มกลับบ้านตอนเลิกงาน สามีภรรยาคู่นี้ดูสมกันมากค่ะ หน้าตาดี มีอัธยาศัย เพื่อนๆ เคยถามว่าพี่จุ๋มจวนจะ "มีน้อง" หรือยัง? คำตอบคือยังไม่มี...จนกระทั่งถึงวันที่พี่นพจากไปตลอดกาล

ศพพี่นพตั้งสวด 7 วันที่วัดใกล้ๆ บริษัทนั่นเอง!

วัดนี้กว้างขวางมาก ศาลาตั้งศพสวดอภิธรรมก็อยู่ไม่ไกลจากประตูวัด พวกเรายกโขยงไปสิบกว่าคน...พี่จุ๋มร้องไห้จนตาบวม ต้องสวมแว่นดำออกมารับแขก บางทีมีญาติสนิทมาปลอบก็ยิ่งทำให้เธอน้ำตาไหลพรากออกมาอีก...ยายมิ้นต์เอียงหน้าเข้ามากระซิบกับดิฉันและยายเหมียวว่า...เพิ่งถามพี่จุ๋มเมื่อวานซืนนี้เองว่าจวนมีน้องหรือยัง? คำตอบก็คือ...ว่าจะไปทำกิฟต์ย่ะ! เป็นอันว่าหมดห่วงแทนพี่จุ๋มไปได้ค่ะ เรื่องนี้จะต้องเลี้ยงลูกกำพร้าพ่อเพียงผู้เดียว!

ความตายนี่ช่างโหดร้ายเหลือเกินนะคะ โดยเฉพาะเมื่อมันมาพรากเอาคนที่เรารักไปก่อนจะถึงเวลาอันสมควร

พวกญาติๆ ของพี่จุ๊มที่รู้จักกันก็แวะเวียนมาทักทายและขอบอกขอบใจพวกเรา บางคนพี่จุ๋มก็พามาแนะนำว่าเป็นญาติผู้ใหญ่ ทั้งญาติของเธอและญาติของพี่นพ...คำพูดก็หนีไม่พ้นจากขอบคุณนะคะที่อุตส่าห์มา...กับเสียใจด้วยจริงๆ ค่ะความสุขทำให้คนเราช่างพูดช่างคุย แต่ความทุกข์ทำให้เบื้อใบ้กับเงียบงัน!ช่วงนั้นยังมีการเลี้ยงของว่างกันด้วยค่ะ เป็นเกี๊ยวน้ำถ้วยเล็กๆ ที่ช่วยแก้หิวได้ดี เพราะพวกเรารีบร้อนมาฟังสวดจนลืมหาของว่างใส่ท้องไว้ก่อน...พอดีมีคุณน้ากับคุณลุง ญาติฝ่ายเจ้าภาพมาถามว่าได้อาหารกับเครื่องดื่มหรือยัง? เราขอบคุณไปตามระเบียบ ก็มีคุณป้าในชุดนุ่งดำสวมเสื้อลูกไม้ขาวเข้ามาขอบอกขอบใจ หน้าตาใจดี พูดจานุ่มนวลชวนฟังมากค่ะ

"ดิฉันเป็นแม่เขาเองค่ะ ตานพแกทำบุญไว้แค่นี้เอง...ขอบใจที่มาฟังสวดนะจ๊ะ ขอให้พวกหนูจำเริญๆ เถอะ"

เราพนมมือไหว้รับพร คุณป้าก็ขอตัวไปทักทายแขกคนอื่นๆ พอดีพระท่านสวดอภิธรรมต่อ เราวางแก้วน้ำลงแล้วพนมมือ ยายมิ้นต์พึมพำว่า...น่าสงสารคุณป้านะ ท่าทางผู้ดีจัง! วันต่อมา ตกเย็นพวกเรากลุ่มเดิมก็ไปฟังสวดศพพี่นพ ตั้งใจว่าจะไปทุกคืนจนถึงวันเผา...คืนนั้นไม่เห็นคุณป้ามาทักทายแขกจนนึกเป็นห่วงว่าจะเจ็บไข้ไป ได้โอกาสก็ถามพี่จุ๋มว่า คืนนี้แม่พี่นพไม่มาอีกหรือ? พี่จุ๋มอ้าปากค้าง เบิกตาโพลง...แม่พี่นพตายตั้งแต่ก่อนลูกชายแต่งงานด้วยซ้ำ ยายเหมียวหายใจคร่อกๆ เหมือนโรคหอบหืดจะกำเริบ ส่วนพี่ชุดาทำท่าว่าความดันเลือดจะลดลงพรวดพราดจนต้องคว้าแขนดิฉันไว้...โชคดีที่ต่อจากคืนนั้นจนถึงวันเผาพี่นพ คุณป้าไม่ได้ปรากฏให้พวกเราเห็นอีกเลยค่ะ!


จากข่าวสด


เครดิต :

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์