ผี ในห้องพักครู


ผี ในห้องพักครู

ใครว่าโลกนี้ไม่มีผี ก็ช่างเขา แต่ดิฉันเชื่อว่ามีแน่ ร้อยเปอร์เซ็นต์ เต็มเพราะได้เจอะเจอมาด้วยตัวเอง นึกขึ้นมาแล้วยังขนลุกไม่หายเลยค่ะ

เมื่อปี พ.ศ.2511 หลังจากเรียนจบจากโรงเรียนฝึกหัดครูที่จังหวัดอยุธยา สมัยก่อนนั้นยังเรียกว่า จังหวัดอยุธยา ไม่ใช่ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เหมือนในปัจจุบันนี้ ดิฉันสอบบรรจุได้เป็นครูประชาบาลที่อำเภอบางปะอิน ซึ่งก็เป็น โรงเรียนวัด ต้องนั่งเรือไปสอนนักเรียน โชคดีที่บ้านของดิฉันอยู่ริมแม่น้ำป่าสัก ตอนเช้าๆ จะมีเรือหางยาวโดยสารแล่นผ่านหน้าบ้านมารับเป็นประจำ จากบ้านไปโรงเรียน ใช้เวลานั่งเรือประมาณครึ่งชั่วโมง ใหม่ๆ เวลานั่งเรือ ก็นั่งดูวิวสองข้างทาง แต่นานๆ เข้าก็เบื่อจึงหาด้ายมาถักเป็นผ้าคลุมไหล่บ้าง ผ้าเช็ดหน้าบ้าง เพื่อเอาไปให้คนที่เราชอบ เมื่อถึงโรงเรียน เรือเทียบท่า จะมีสองท่า คือ ท่าของโรงเรียน และท่าของวัด แต่ส่วนมากเรือจะเทียบท่าของวัด เพราะยื่นไปในแม่น้ำมากกว่าและแข็งแรงกว่า ท่าของโรงเรียน ทำให้ต้องขึ้นเรือที่ท่านี้ เป็นประจำ

โรงเรียนที่ดิฉันสอนมีถึงชั้น ป.6 มีนักเรียนทั้งหมดประมาณ 400 คน

มีครู ทั้งผู้หญิงและผู้ชายรวม 19 คน ดิฉันเป็นครูมาใหม่ ก็ทั้งสาว ทั้งสวย หมวย ตาม สเปกเชียว เรียกว่าใครเห็นเป็นต้องหันมามอง ไม่ใช่ว่าคุย จะมีครูหนุ่มๆ ทั้งโสดและไม่โสดมากะลิ้มกะเหลี่ยอยู่เรื่อยๆ แต่เรื่องอะไรที่เราจะไปสนใจเขา ตั้งหน้า- ตั้งตาสอนหนังสือเด็กไปเรื่อยๆ ดีกว่า เมื่อโรงเรียนเลิก ก็ต้องเดินมาลงเรือที่ท่าหน้าวัดเพื่อกลับบ้าน วันหนึ่งแปลกใจและตกใจมาก เพราะทางที่จะเดินลงนั้น มีคนแต่งชุดดำเต็มไปหมด มองไปตรงกลาง เห็นเขาเอาศพผู้ชายมาวางไว้บนเชิงตะกอนที่เขาก่อเป็นอิฐมอญ สองด้าน มีเหล็กแผ่นเล็กๆ วางขวางระหว่างสองด้านนั้น และมีไม้รองด้านล่างศพ ไม่มีอะไรปกปิดเลยแม้แต่นิดเดียว ช่วงกลางของด้านล่างจะมีกองฟืนสุมเอาไว้ เหมือนการก่อกองไฟของลูกเสือ ไม่มีผิดเลย

ความที่ดิฉันเป็นคนอยากรู้อยาก-เห็น ก็หยุดยืนดู

เห็นเขาจุดไฟเผาศพกันสดๆ ต่อหน้าต่อตา ศพนอนอืดหงายอลึ่งฉึ่ง มือเท้ากางและหงิกงอ ไฟที่ด้าน-ล่างลุกโพลงขึ้นมาที่ศพแรงขึ้นทุกทีๆ ไฟเลียน้ำเหลืองแทนน้ำมันเต้นกันวูบวาบ หยดรดถ่านแดงดังฉี่ๆ คล้ายคนกินของอร่อยแล้วเลียปากทันใดนั้น ศพที่นอนค้างอยู่บนแผ่นเหล็กนั้นขยับลุกกระเด้งขึ้นมาได้ คนที่มาเผาศพร้องฮือๆ กันใหญ่ สัปเหร่อที่ยืนอยู่ใกล้ๆ เดินเข้าไปเอามีดเฉาะที่ศพ ศพก็นอนราบลงไป ควันลอยขึ้น มีละอองปลิวว่อน กลิ่นเหม็นตลบ- อบอวลไปหมด ดิฉันรีบเดินหนีลงเรือกลับบ้าน แต่ก็อดสงสัยไม่ได้ว่า ทำไมคนตายแล้ว ลุกขึ้นมาได้

พอรุ่งเช้า รีบมาโรงเรียน เดินไปหาลุงจันทร์ สัปเหร่อ

ถามไถ่ก็ได้ความว่า คนที่ตายนั้น เส้นเอ็นมันยึด พอโดนไฟร้อนๆ เอ็นมันก็ขยาย ตัว ขา แขน ของคนตายจึงยกได้ ต้องฟันให้เอ็นขาด ศพจะได้อยู่เหมือนเดิม ได้ฟังแค่นี้ก็นึกสยองแล้วลุงจันทร์ยังแถมให้อีกว่า ครู การจัดวางฟืนก็เหมือนกัน ต้องวางให้ถูกวิธีนะ ต้องมีวิธีวางแบบข่มศพ จึงจะถูกต้อง ทุกกลางวัน ครูทั้งหมดก็จะมากินอาหารพร้อมๆ กับเด็กนักเรียน เพราะทางโรงเรียนมีโครงการอาหารกลางวัน ให้ครูทำอาหารขายเด็กในราคาถูก และเด็กก็จะได้กินอาหารที่ถูกหลักโภชนาการด้วย กินเสร็จแล้ว ครูส่วนมากก็จะนั่งคุยกันต่อ ส่วนดิฉันได้ขอตัวขึ้นมาที่ห้องพักครูเพื่อตรวจงานเด็ก เพื่อจะได้ไม่ต้องหอบกลับไปตรวจที่บ้าน

ขณะที่กำลังตรวจการบ้านอยู่นั้น ถ้าดิฉันรู้สึกเพลียๆ ง่วงๆ เพราะกินอาหารมาอิ่ม

ก็จะฟุบกับโต๊ะ แต่เมื่อฟุบลงไปก็จะได้กลิ่นแปลกๆ ซึ่งไม่ใช่กลิ่นคุ้นเคยซึ่งเป็นกลิ่นน้ำหอมที่ดิฉันชอบมาแตะไว้ ที่ปกเสื้อ เวลาที่เพลียๆ หรือเหงาๆ ก็จะเอียงคอมาดม จะหอมชื่นใจ แต่กลิ่นที่ได้จากโต๊ะนั้นไม่ใช่ แต่ไม่รู้ว่าเป็นกลิ่นอะไร บางที เวลาฟุบไป ก็คล้ายๆ จะ เหมือนมีคนมายืนดูอยู่ แต่เมื่อมองดูแล้วก็ไม่เห็นมีใคร วันหนึ่ง หลังจากกินอาหารกลาง-วันเสร็จแล้ว ดิฉันขึ้นมานั่งตรวจงานที่ชั้นบนตามเคย เพื่อนๆ ครูรุ่นพี่ๆ ก็นั่งคุยกันอยู่ชั้นล่าง นั่งตรวจงานอยู่สักพัก รู้สึกง่วง ก็คิดว่าจะฟุบที่โต๊ะเหมือนที่เคยทำ สักแป๊บ แล้วค่อยตรวจงานต่อ ระหว่าง ที่เคลิ้มๆ ยังไม่ทันจะหลับดี รู้สึกว่ามีคนเดินเข้ามายืนใกล้ๆ จึงลืมตาขึ้นมา เห็น อีตาครูวิวัฒน์ ครูในโรงเรียนเดียวกัน ที่คอยมองดิฉันด้วยสายตาแปลกๆ บ่อยๆ เดินรี่เข้ามาหาดิฉันเหมือนจะเข้ามากอด ดิฉันก็ร้องขึ้นมา แต่จำไม่ได้ว่าร้องอย่างไร แต่ที่ไม่น่าเชื่อเลยก็คือ โต๊ะที่ดิฉันฟุบอยู่ก่อนหน้านั้นได้ขยับและเคลื่อนไปอย่างรวดเร็ว กระแทกไปที่หว่างขาของ ครูวิวัฒน์อย่างเต็มที่ เสียงครูวิวัฒน์ร้อง โอ๊ย.. แล้ววิ่งกะโผลกกะเผลกหนีไป

ดิฉันหันมามองที่โต๊ะ เห็นโต๊ะค่อยๆ เลื่อนกลับมาทีละน้อยๆ จนมาอยู่ที่เดิม

ดิฉันตัวแข็ง ตาค้าง ขนลุก ตกใจหมดเลย นึกในใจว่า เป็นไปได้อย่างไร ที่โต๊ะเลื่อนได้เองโดยที่ไม่มีลูกล้อ และโต๊ะตัวนี้ก็หนักมาก คนสองคนก็ยกแทบจะ ไม่ไหว พอดีเพื่อนครูที่อยู่ชั้นล่างได้ยินเสียง ก็ขึ้นมาถามว่าเกิดอะไรขึ้น ดิฉัน ก็บอกว่า ครูวิวัฒน์เดินมาสะดุดโต๊ะ ก็ไม่มีใครสนใจอะไรอีก ดิฉันยังงงไม่หายว่า ทำไมโต๊ะ จึงเลื่อนได้ ทั้งๆ ที่โต๊ะก็หนัก ขาโต๊ะ ก็แข็งแรง ตอนเช้าเมื่อมีชั่วโมงว่าง ก็เดินไปหาลุงจันทร์สัปเหร่อที่พักอยู่ข้างๆ เมรุ เล่าให้ลุงฟังว่ามีเรื่องอย่างนี้เกิดขึ้น แต่ไม่ได้เล่าเรื่องครูวิวัฒน์ ลุงจันทร์บอกว่าเอาอีกแล้วเหรอ แล้วลุงจันทร์ก็เล่าให้ฟังต่อว่า

ก่อนหน้าที่ครูจะมาสอนที่นี่ อ้ายแดง ลูกกำนัน มันถูกอีแจ๊ด เมียมัน ซึ่งมีรูปร่างขาวๆ หมวยๆ อวบๆ อย่างครู นี่แหละ ยิงตาย เพราะจับได้ว่ามันไปมีเมียน้อยซึ่งมีรูปร่างขาวๆ หมวยๆ อวบๆ แล้วอีแจ๊ดมันก็ยิงตัวตายตาม กำนัน พ่ออ้ายแดงได้เอาศพของทั้งสองมาตั้งสวดและเผาที่นี่ แต่ตอนก่อนเผานั้น ลุงเห็นว่า โลงที่ใช้ใส่ศพนั้นใช้ไม้จริง ดีมาก เป็นไม้แดงแผ่นเดียว หนาตั้งนิ้ว ลุงก็เลยเก็บโลงเอาไว้ แล้วเอาไม้มาทำโต๊ะให้ครู นี่แหละ ไม่นึกว่าเลยว่า อีแจ๊ด มันจะยังหวงคนขาวๆ อวบๆ อยู่อีก

หลังจากวันนั้น ครูวิวัฒน์ต้องเข้าไปรักษาตัวที่โรงพยาบาล 2 อาทิตย์ กลับมาก็ยังเดินกะเผลกๆ อยู่ ไม่กล้า มองหน้าดิฉันเลย ส่วนตัวดิฉันก็ไม่ไปนั่งที่โต๊ะนั้นอีก ก็มีผีสิงอยู่ ใครจะไปนั่ง พอดีมีโรงเรียนวัดที่อยู่ห่างไปอีกประมาณ 1 กิโลเมตร ขาดครูสอน ดิฉันก็เลยขอย้ายไปสอนที่นั่นแทน เพื่อหนีทั้งผี หนีทั้งคนผีทะเล ให้พ้นๆ เสียที


ขอบคุณเรื่องเล่าจากคู่สร้างคู่สม


เครดิต :

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์