ใครยืนอยู่ตรงนั้น"


ใครยืนอยู่ตรงนั้น\"

เมื่อประมาณ 5-6 ปีก่อนเห็นจะได้ ครอบครัวของผมก็ได้เดินไปพักที่ต่างจังหวัด

เนื่องจากเป็นวันปิดภาคเรียนของหลานๆ และเราก็ได้เดินทางไปพักที่จังหวัดเพชรบุรี เนื่องจากเราได้ไปกันประมาณสิบกว่าคน เป็นเด็กไปประมาณ 4-5 คนแล้วเราจึงจองแค่ 3 ห้อง ห้องที่เราจองจะเป็นห้องที่เปิดประตูเชื่อมถึงกันสองห้อง แล้วก็เป็นห้องแยกต่างหากอีกห้องหนึ่ง เราตกลงกันว่าจะให้ครอบครัวของพี่สาว นอนห้องที่มีประตูเชื่อมห้องหนึ่งและผมกับหลานชายอีกคน นอนที่ห้องอีกด้านของประตู ตกเย็นผมก็อยู่กับพวกพี่เขยแล้วก็หลานชายอายุประมาณ 7 ขวบ ก็นั่งคุยกันที่ริมสระ เพราะบริเวณสระน้ำจะมีบาร์บริการเครื่องดื่มตั้งอยู่ ทานกันจนถึงประมาณสามทุ่ม ผมกับหลานก็ขึ้นห้องพัก ส่วนพวกพี่เขยที่เหลือก็ยังนั่งดื่มเหล้าคุยกันต่อ

เมื่อขึ้นมาถึงห้องพัก พวกหลานๆที่ขึ้นมาก่อนหน้านี้ก็หลับกันหมดแล้ว

ผมจึงต้องค่อยๆอาบน้ำเปลี่ยนเสื้ออย่างไม่ให้มีเสียงดัง เพราะเราไม่ได้ปิดประตูที่ใช้เชื่อมห้องเวลานอน เมื่อผมอาบน้ำเสร็จก็ขึ้นไปนั่งดูโทรทัศน์บนเตียงเดี่ยวขนาดใหญ่ แล้วหลานชายผมก็เข้าไปอาบต่อ ประตูห้องน้ำจะอยู่ใกล้ๆกับประตูห้องเข้าออก แล้วหัวเตียงที่ผมนอนจะติดกับกำแพงด้านหนึ่ง ซึ่งเป็นด้านตรงข้ามกับประตูห้องน้ำ แต่ประตูห้องน้ำจะเยื้องไปทางขวา เมื่อหลานชายผมแต่งตัวเสร็จเราสองคนก็เข้านอน โดยไม่ลืมเปิดไฟหัวเตียงทิ้งไว้หนึ่งดวงด้วย เพราะหลานชายจะเป็นคนขวัญอ่อน ไม่ชอบความมืด ส่วนผมก็ไม่เดือดร้อนอะไรจะอยู่ที่ไหนก็นอนได้ทั้งนั้น

พอสักพักฝนก็ตกลงมาหนักมาก เป็นผลทำให้ไฟฟ้าของโรงแรมดับ

เมื่อไฟดับผมก็ลุกขึ้นมาทันทีเพราะว่ายังนอนไม่ค่อยหลับสนิทนัก นึกโทษกาแฟที่โหมกินไปตอนเช้าถึง3ถ้วย ทำให้ถึงป่านนี้ก็ยังนอนไม่หลับ ปรกติหัวถึงหมอนหลับเป็นตาย แล้วผมก็เหลือบไปมองนาฬิกา ตอนนั้นเวลาประมาณซัก11โมงเห็นจะได้ ก็เลยคิดว่าจะลงไปดื่มกับพวกพี่เขยข้างล่าง ซึ่งตอนนี้ก็ยังไม่ขึ้นมาซักที แต่ก็คิดว่าดึกแล้วพรุ่งนี้ต้องเดินทางต่อ จึงแข็งใจล้มตัวนอนต่อ พลิกไปพลิกมาสักพักหลับ พอผมหลับไปได้สักพักหนึ่ง ก็รู้สึกเหมือนมีใครมาสะกิดที่หลังผม ผมจึงลืมตาขึ้นมาก็เห็นหลานชายลุกขึ้นมานั่ง แต่ยังเห็นหน้าเขาไม่ชัดนักเพราะ ไฟยังไม่มา ผมจึงถามเขาว่า

" มีอาไร มาปลุกดึกๆกำลังนอนสบาย กลัวความมืดเหรอ" ผมลองถามเขาอย่างนั้นเพราะเห็นสีหน้าเขาไม่ค่อยดี "

อา อาเห็นใครตรงนั้นหรือเปล่า" หลานผมถามด้วยเสียงสั่นๆ เหมือนจะร้องไห้

ผมก็หันไปมอง ไม่เห็นมีอะไรนี่นา ก็เป็นประตูเฉยๆนี่ " ไม่เห็นมีอะไรนี่ ใครเหรอ เห็นอะไรเหรอ อย่ามาล้อเล่นนะ ยิ่งไฟดับอยู่ อาไม่ชอบ" ผมพูดทีเล่นทีจริง เพราะไม่รู้ว่าหลานคนนี้จะมาไม้ไหน ปรกติก็ชอบอำคนไปทั่ว

"ใครหน่ะอา ผมเห็นจริงๆนะ ไม่ได้ล้อเล่น มีผู้ชายคลุมผ้าทั้งตัวยืนอยู่ตรงนั้นจริงๆ" ผมก็หันไปมองอีกรอบ ก็ไม่มีอะไร นึกโมโหในใจ ทำไมมาอำอะไรกันป่านนี้นะ คนจะหลับจะนอนแสบจริงๆ

แต่เมื่อผมเห็นหลานผมร้องไห้ออกมาดังลั่น ผมก็รู้แล้วว่า เขาไม่ได้ล้อเล่น

ผมเริ่มตัวสั่นทำอะไรไม่ถูกเหมือนกัน หลานผมพูดแต่ว่าใคร ใครยืนอยู่ตรงนั้น ใครหน่ะอา แล้วเขาก็เอาแต่ร้อง ผมทนไม่ไหว เลยลากเขาลงมาจากเตียง กึ่งลากกึ่งอุ้มลงมาแล้วก็วิ่งไปห้องข้างๆของพี่สาว แล้วคืนนั้นเราสองคนก็หลับอยู่ที่ห้องของพี่สาวผมทั้งคู่ ผมปลอบเขาอยู่นานกว่าจะหลับได้ผมเองก็ปลอบตัวเองเหมือนกัน รุ่งเช้าหลานผมก็ถามผมอีกว่าใครยืนอยู่ อาเห็นไหม ผมกลัวว่าหลานผมจะกลัวโรงแรมไปตลอดชีวิต ก็เลยบอกเขาไปว่า เห็น เป็นพวกพี่เขยของผมนั่นแหละ เขาก็สบายใจแล้วก็ไม่ถามผมอีก เพื่อความแน่ใจผมก็เลยไปถามพวกพี่เขยว่า เมื่อคืนใครเข้ามาทางประตูห้องผม เขาก็ตอบว่าไม่มีใครเข้าทางนั้นสักหน่อย และเพิ่งเข้าห้องตอนเช้า เพราะเมื่อคืนฝนตกหนักมาก ไม่มีใครฝ่าฝนเดินเข้ามาในโรงแรมหรอก นั่งกันตรงสระนั่นแหละจนเกือบถึงเช้า

แล้วผมก็เล่าเรื่องเมื่อคืนให้เขาฟัง ไม่มีใครกล้าเข้าห้องน้ำนั้นเลย แต่ที่น่าแปลกก็คือ ตอนเช้ามีกลิ่นเหม็นเน่า ลอยออกมาจากห้องน้ำนั้นแต่ไม่มีใครกล้าเข้าไปดูหรอกว่าเหม็นจากอะไร ครอบครัวเราก็เลยกลับกรุงเทพไม่ได้ไปเที่ยวที่ไหนต่ออีก


เรื่องเล่าจากพลังจิตดอทคอม


เครดิต :

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์