ผีป่ากล้วย


ผีป่ากล้วย

พ่อเล่าให้ฟังว่าเมื่อครั้งพ่อยังหนุ่มๆพ่อทำงานเป็นช่างไม้อยู่ที่โรงเรียนที่เขากำลังสร้างอาคารเพิ่มเติมอีกหลังหนึ่งเพื่อรองรับนักเรียนที่เพิ่มมากขึ้น

ตอนนั้นก็ประมาณปีพ.ศ. 2508 ได้กระมังฉันอายุประมาณ 8 ขวบและเพิ่งเข้าโรงเรียนได้ไม่นานข้างๆโรงเรียนจะเป็นวัดเอ...พูดไม่ถูกสิข้างๆวัดเป็นโรงเรียนต่างหากเพราะโรงเรียนปลูกอยู่ในที่ของวัดเลยไปก็เป็นโรงเรียนที่สร้างขึ้นใหม่แต่ยังสร้างไม่เสร็จถัดออกไป ทางด้านที่ติดกับคลองเลยถนนหลวงเข้าไปหน่อยจะเป็นโรงโกดัง (โรงเก็บศพ) สมัยนั้นเขาเรียกกันอย่างนี้หรือเรียกให้หรูว่าห้องหลังความตายแต่ที่โรงพยาบาลเรียกห้องดับจิตหรือห้องเย็น

ก่อนที่เขาจะทำการเผาผีต้องไปเอาโลงศพออกมาจากโกดังนี้

เขาจะมีชื่อเขียนไว้ข้างโลง สมัยนั้นฉันค่อนข้างจะเป็นเด็กซุกซนเหมือนผู้ชายเคยเข้าไปช่วยเขาเลือกโลงศพตามชื่อที่ญาติจะนำออกมาเผาแต่ก็เคยครั้งเดียวเท่านั้นครั้งเดียวจริงๆถึงใครจะว่าเด็กกลัวผีถ้าเป็นตอนกลางวันน่ะจะไม่ค่อยกลัวแต่พอกลางคืนเป็นตาขาวทุกทีใครจะใช้ให้ไปหยิบอะไรในที่มืดๆเช่นให้ไปตักน้ำที่โอ่งในครัวหรือให้ไปเอาผ้าขี้ริ้วมาเช็ดน้ำที่หกฉันเป็นต้องอิดออดไม่อย่างนั้นก็จะต้องฉวยตะเกียงน้ำมันก๊าดติดมือไปด้วยเลยทำให้คนที่นั่งล้อมวงอยู่ไม่มีตะเกียงก็จะมืดสนิทชั่วคราวจนโดนเอ็ดบ่อยๆว่าไม่มีมารยาทบ้างล่ะซุ่มซ่ามบ้างล่ะกระโดกกระเดกเป็นม้าดีดกะโหลกบ้างล่ะก็ช่างปะไรฉันซะอย่าง

เรื่องพฤติกรรมความห้าวของฉันก็พ่ออีกนั่นแหละที่เป็นคนเล่าให้ฟังว่าตอนที่ไปช่วยสัปเหร่อขนโลงศพคนตายออกมาจากโกดังซึ่งฉันก็ยังจำได้ดี

ช่วงนั้นพ่อเลิกงานและไปแวะรับฉันที่โรงเรียนเพื่อจะกลับบ้านพร้อมกัน พอเดินผ่านวัดสัปเหร่อที่วัดก็วานให้พ่อช่วยยกโลงออกจากโกดังเพราะคนที่ตายตัวใหญ่มากสัปเหร่อกับเด็กวัดสองคนยกไม่ไหว สมัยหนุ่มๆพ่อยังแข็งแรงและเป็นคนมีน้ำใจด้วยเลยช่วยส่วนฉันเป็นคนดูหลังจากยกโลงศพออกมาแล้วเขาให้รีบปิดโรงโกดังทันที เหตุผลน่ะหรือเนื่องจากจะมีกลิ่นจากศพที่วางซ้อนๆกันอยู่โชยออกมาและข้างในโรงโกดังเก็บศพก็สกปรกมีทั้งหนูทั้งแมลงสาบวิ่งกันให้พล่านไปหมดไม่ เคยมีใครเข้าไปทำความสะอาดเลยและก็กลัวว่าแมวหรือหมาจะแอบเข้าไป ตอนเราเผลอเพื่อจับหนูหรือเข้าไปหาอะไรกินแล้วเราไม่รู้ก็จะขังมันไว้ข้างในมันอาจจะตายด้วยความทรมาน เพราะในนั้นทั้งร้อนและไม่มีอากาศหายใจเลย

วันที่พ่อไปช่วยเขายกนั้นเป็นวันศุกร์รุ่งขึ้นเป็นวันเสาร์ฉันไม่ต้องไปโรงเรียน

ไหนๆก็ไหนๆแล้วพ่อก็เลยพาฉันไปช่วยลุงสัปเหร่ออยู่ที่วัดจนมืดค่ำ ตอนออกมาจากวัดนี่สิบรรยากาศมันทั้งเงียบทั้งมืดเสียจนขนาดเด็กที่ไม่กลัวผีอย่างฉันก็แทบจะทนกับความวิเวกวังเวงไม่ได้ ขณะที่เดินผ่านโรงโกดังมาตามถนนจะมีป่ากล้วยเป็นแนวยาวขนานไปกับถนนจนติดชายคลองฉันกับพ่อเดินติดกันแสงไฟจากไฟฉายที่ลุงสัปเหร่อให้มาไม่พอแก่การมองเห็นไปไกลๆ ทันใด...ก็ได้ยินเสียงเหมือนประตูโรงโกดังเปิด พ่อฉายไฟแวบเข้าไปเพื่อตรวจตราหากมีหมาแมวมันไปตะกุยประตูแล้วกลอนหลุดมันอาจจะมุดรอดเข้าไปได้ แต่.. ไม่มี.. เอาแล้วสิให้ตายเถอะโรบิ้น !

ฉันเริ่มออกอาการระแวงขึ้นมาเล็กน้อยพ่อกับฉันหยุดเดินกะทันหัน

เมื่อมีแมวดำวิ่งผ่านหน้าไปและวิ่งหายเข้าไปทางป่ากล้วยเขาว่ากันว่าแมวดำเป็นแมวปีศาจตาฉันคงไม่ฝาดเพราะพ่อก็หยุดเดินเหมือนกัน

พ่อๆแมววิ่งไปทางโน้น

อย่าทักซิสอนไม่จำเห็นอะไรกลางคืนห้ามทัก

ฉันสงบปากสงบคำอย่างว่าง่าย

พ่อจ๋าฉันเดินไม่ไหวแล้วขอขี่หลังนะ แล้วพ่อก็ให้ฉันขี่หลังเพราะพ่อรู้ว่าฉันนั้นตาขาวขนาดไหนขืนให้เดินเองคงไปไม่ถึงบ้านแน่ๆ

พ่อเดินมาจนเกือบสุดป่ากล้วยที่บนถนนแล้วก็จริงแต่เสียงสวดศพที่ศาลา 1 ก็ยังดังแว่วๆมา

แล้วคุณคิดดูสิมันจะวังเวงขนาดไหนไม่ต้องดึกมากหรอกแค่ 2 ทุ่มนี่แหละ โน่นไง.. เอาเข้าแล้วมาเป็นแพเลยป่ากล้วยที่ฉันเห็นตอนกลางวันขณะนี้มันมีสิ่งมหัศจรรย์เกิดขึ้นแล้วต้นกล้วยเอนไปเอนมาเหมือนอย่างกับถูกคนจับโยกเอนไปทางซ้ายก็เอนไปพร้อมๆกันเอนไปทางขวาก็เอนไปพร้อมๆกัน แต่พอพ่อฉายไฟไปดูมันก็หยุดพอเราเดินต่อมันก็เอาอีกแล้วเล่นเอาเถิดจนเราขนหัวลุกไปตามๆกัน
ศพลุงแจ๋นี่เฮี้ยนเหลือเกิน ฉันคิดแต่ไม่กล้าจะพูดกับพ่อกลัวพ่อจะตวาดให้อีก
พ่อกับฉันเหมือนถูกสะกดให้ดูเหตุการณ์อยู่ตรงนั้น สักครู่ก็มีเงาดำทะมึนโผล่ขึ้นมาจากป่ากล้วยลอยออกมาแล้วลอยไปแถวชายคลอง ฉันตาไม่ฝาดแน่เพราะพ่อก็เห็นฉันกรีดร้องสุดเสียงอย่างกลั้นไม่อยู่ พ่อก็ออกวิ่งป่าราบโดยไม่ลืมแบกฉันไปด้วย

พ่อแบกฉันวิ่งกลับเข้าไปในวัดที่จัดงานศพแล้วก็นั่งใจสั่นอยู่ข้างๆศาลา

เพราะเราไม่ใช่ญาติจะขึ้นไปก็กระไรอยู่ลุงสัปเหร่อเดินมาดูแล้วเล่าให้ฟังว่าที่บริเวณป่ากล้วยตรงนั้นมีคนเห็นมาเยอะแล้วแต่ลุงไม่ได้เล่าให้พ่อฟังเพราะกลัวจะกลับบ้านไม่ได้และไม่คิดว่าคนดีๆอย่างพ่อจะถูกเล่นงานด้วย แม้แต่พระที่พายเรือไปบิณฑบาตผ่านบริเวณป่ากล้วยข้างโกดังนี้ในตอนเช้ามืดก็ยังเห็น..นั่งห้อยขาอยู่ริมน้ำบ้างปีนไปอยู่บนต้นลำพูที่ขึ้นอยู่แถวตามชายคลองบ้างบางคนอาการหนักหน่อยก็เห็นรูปร่างสูงใหญ่ถ่างขายืนคร่อมคลองทำเอาหันหัวเรือพายหนีกันแทบไม่ทันจนไม่มีใครอยากผ่านทางนี้ตอนเวลาโพล้เพล้หรือมืดค่ำเลย บางทีพระที่บวชใหม่ๆพายเรือไปเจอก็จ้ำเรือหนีจนเรือล่มก็มีปิ่นตงปิ่นโตจมน้ำหายหมด ซึ่งเจ้าอาวาสเองท่านก็ปรึกษากับมรรคทายกอยู่ว่าจะต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อให้ชาวบ้านและพระสบายใจขึ้นบางทีถ้าเราย้ายโรงโกดังออกไปอยู่อีกด้านหนึ่งที่ไกลทางเดินและคลองก็คงจะดี

ซึ่งหลังจากวันที่ลุงสัปเหร่อเล่าให้พ่อฟังผ่านไปได้แค่วันเดียวลุงสัปเหร่อก็ตายเลย

ทำให้ไม่มีใครกล้าเข้าไปย้ายโรงโกดังของเหล่าวิญญาณที่ยึดพื้นที่เพื่อปฏิบัติการหลอกหลอนมนุษย์และพระต่อไปอีกและชาวบ้านก็ไม่มีใครกล้าเดินตอนกลางคืนคนเดียวต้องมากันเป็นกลุ่มใหญ่ๆ สำหรับพระเองท่านก็จะออกบิณฑบาตเมื่อสว่างแล้วเป็นการแก้ปัญหาเพราะไม่มีใครอยากเสี่ยงเหมือนลุงสัปเหร่ออีกนั่นเอง ปัจจุบันนี้ที่วัดไม่มีโรงโกดังอีกแล้ว (ค่อยยังชั่ว) แต่ยังมีเรื่องเล่าขานกันต่อๆมาและทุกครั้งที่ได้ยินได้ฟังผู้เฒ่าผู้แก่เล่าฉันก็ยังขนลุกขนพองอยู่ทุกครั้ง


พลังจิตดอทคอม


เครดิต :

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์