ขึ้นจากแม่น้ำ
"นายกั้ง" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากริมฝั่งเจ้าพระยา
บ้านคุณปู่คุณย่าของผมอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ด้านฝั่งธนฯ ถึงแม้จะไม่ใหญ่โตนักแต่ก็น่าอยู่มาก น่าเสียดายที่เมื่อท่านตายจากไป บ้านหลังนี้ถูกทิ้งให้รกร้าง จนกระทั่งเมื่อ 3 ปีก่อนคุณพ่อผมคิดจะทำที่นั่นเป็นร้านอาหาร
ตอนนั้นผมอยู่ ม.5 ช่วงปิดเทอมเดือนตุลาคมก็เลยช่วยได้เต็มที่ สนุกดีครับ
และแล้ว...คืนหนึ่งผมก็ขอไปค้างที่นั่น!
การตกแต่งภายในนั้นเสร็จเรียบร้อยแล้ว แค่รอฤกษ์เปิดร้าน เราไม่ได้เลิศหรูอะไรหรอกครับ ไม่ใช่เป็นผับเป็นบาร์ มีดนตรี แต่เป็นร้านขายสเต๊กและอาหารตามเมนูประเภท ยำ ผัดเผ็ด แกง ก๋วยเตี๋ยว สลัดและซุปต่างๆคุณแม่กับคุณอาของผมมีฝีมือครับ
อาต้อยเพิ่งลาออกจากงานไฟแนนซ์ เพราะไม่ชอบใจอะไรๆ หลายอย่าง พ่อก็เลยว่า เออ...ดี! ตั้งร้านอาหารซะเลย ให้แม่กับอาต้อยทำ แล้วจัดห้องคุณปู่คุณย่าที่ชั้นบนให้เป็นห้องนอนของอาต้อย ปกติอาต้อยก็อยู่ที่บ้านเราแถวนานานี่แหละ
พอผมเห็นห้องนอนอาต้อยที่บ้านฝั่งธนฯ จัดแต่งเสร็จแล้ว ผมก็พาเพื่อน 2 คนไปนอนที่นั่น ถือว่าเป็นการพักตากอากาศริมแม่น้ำ น่าสนุกออก แถมแม่กับอาต้อยจะลองทำอาหารกันด้วย
คืนนั้นเรากินสเต๊กกันอิ่มแปล้ เพื่อนผมอร่อยใหญ่ แม่กับอาต้อยก็ยิ้มไม่หุบ ตอนหัวค่ำน่ะมีเพื่อนๆ ของอาต้อยมาช่วยชิมอาหาร ดูๆ ไปก็เหมือนงานเลี้ยงย้อยๆ
เราอยู่กันพร้อมหน้าทั้งพ่อ แม่และอาต้อย แต่พอ 4-5 ทุ่มทุกคนก็กลับบ้านกันหมด เหลือแต่ผม 3 คนอยู่เฝ้าร้าน
พวกเรานอนดึกครับ จะเรียกว่าไม่นอนเลยก็ได้!
เวลาปิดเทอมพวกผมจะเป็นแบบนี้แหละ ขอให้มีเน็ต มีทีวี มีกีตาร์ เท่านั้นก็พอแล้ว เราจะนอนตอนไก่ขัน ผมคิดว่าเด็กวัยรุ่นบ้านอื่นๆ ก็คงเป็นแบบนี้เหมือนกันแหละ จริงไหมครับ?
บ้านคุณปู่มีระเบียงนั่งเล่นริมแม่น้ำเป็นพื้นที่กว้าง วางโต๊ะกินข้าวตัวใหญ่ๆ ได้สบาย มีกระถางสวยๆ วางเรียงไว้รอบๆ คืนนั้นผมกับเพื่อนนั่งเล่นกันตรงนี้ จนราวตี 2 กว่าๆ ฝนก็เริ่มตกพรำๆ ดวงดาวหายหมด เหลือแต่เมฆหนาสีแดงๆ เต็มผืนฟ้า
ผมกับเพื่อนต้องอพยพเข้าข้างในด้วยความเสียดาย แต่เราก็ยังเปิดประตูกระจกบานใหญ่ออกเต็มที่ ไม่รูดม่าน ปิดแต่มุ้งลวดกันยุงเข้า
บริเวณห้องรับแขกนี่ ยังไม่ได้ตั้งโต๊ะสำหรับลูกค้ามานั่งรับประทานอาหารมันก็เลยยังโล่ง มีโซฟาแสนสบายที่อาต้อยบอกว่า พอเปิดร้านจะยกโซฟาขึ้นข้างบน
เมื่อมีโซฟาเจ้าจ๊อบก็เลยขึ้นไปนอนเหยียดยาว แล้วเผลอหลับไปเลย ผมกับแอ๊ดก็ฟังเพลงจนเคลิ้มไปบ้างเหมือนกัน แต่ไม่ได้นอนนะครับ เราเอนหลังอยู่กับโซฟา ตัวก็นั่งอยู่กับพื้นห้อง ดับไฟในห้องจนมืด...โรแมนติก! เราจึงมองผ่านมุ้งลวดออกไปเห็นข้างนอกได้ถนัดตา
เราหลับไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ แต่ผมตื่นเพราะจ๊อบสะกิดเบาๆ
"เฮ้ย! ไอ้กั้ง มึงดูซิว่าที่ระเบียงน่ะมีใคร?"
มันกระซิบ น้ำเสียงบอกว่ากลัวน่าดู ผมใจหาย นึกว่า...เอาละซิ! ผีหรือโจรกันแน่? รีบขยับตัวนั่งตรง เขม้นมองไปที่ม้านั่งยาวตรงระเบียง
...เงานั้นเห็นได้ชัดว่าเป็นเด็กนักเรียนผู้หญิง อายุราว 10 ขวบ หัวทุย ถักเปีย 2 ข้าง
คุณพระคุณเจ้าช่วย! มันน่ากลัวกว่าอะไรทั้งหมด! คิดดูซิครับ ตี 2 ตี 3 เด็กที่ไหนจะมานั่งอยู่ตรงนี้? บ้านคุณปู่ไม่มีทางเดินเลาะเข้ามาได้หรอก ถ้าจะมาได้ก็แค่ทางเดียว คือ...ขึ้นมาจากน้ำ!
แอ๊ด ซึ่งนั่งพิงอยู่ปลายโซฟาด้านโน้น ตื่นขึ้นมาเห็นภาพนี้เหมือนกัน มันกระเถิบตัวเข้ามาเบียดผมกับจ๊อบ
เด็กหญิงเล่นง่วนอยู่คนเดียว เธอกระโดดหย็องๆ สักพัก แล้วทันใดนั้น ก็เหมือนเธอรู้ว่าเรา 3 คนกำลังดูเธออยู่...ร่างน้อยๆ หยุดกระโดดแล้วเดินช้าๆ มาแนบหน้ากับมุ้งลวด เอามือสองข้างประกบตรงข้างนัยน์ตาทั้งสอง ...มองกลับมาที่เรา
ผมอยากถามว่าเธอเป็นใคร? มาได้ยังไง? แต่มันพูดไม่ออกครับ คำถามนั้นก้องอยู่แต่ในหัวอก ที่หัวใจกำลังระทึก ท่ามสรรพสิ่งเงียบเชียบ มีแต่เสียงคลื่นเซาะฝั่งเบาๆ คล้ายง่วงนอนเต็มประดา
ถ้าเธอเดินผ่านมุ้งลวดเข้ามาเราจะทำยังไง? จะเผ่นไปทางไหนดี?
เมื่อเห็นว่าพวกเรากลัวสุดขีด เด็กน้อยก็ถอยหลังไปช้าๆ ใบหน้าก้มต่ำเหมือนเศร้าเสียใจ แล้วร่างก็เลือนหายไปในสายฝนพรำ...
พอได้สติ ผมเดินไปรูดม่านเพราะกลัวจะเห็นสิ่งลี้ลับจากแม่น้ำอีก จากนั้นก็เปิดไฟสว่างโร่ เราวิพากษ์วิจารณ์กันใหญ่ กลัวรึก็กลัวจนทำอะไรไม่ถูก จิ้งจกร้องก็ผลาแล้ว
รุ่งเช้า อาต้อยกับพี่ณี - แม่ครัวคนเก่งมาถึงบ้าน เราชิงกันเล่าถึงเด็กผู้หญิงลึกลับ แทนที่อาต้อยจะกลัวกลับร้องโถๆ...ไม่หยุดปาก
เธอบอกว่า เป็นไปได้ที่เด็กหญิงคนนั้นจะตายในแม่น้ำนี้ อาจจะเรือล่ม ตกน้ำตาย วิญญาณก็วนเวียน...บ้านหลังนี้ก็ไม่มีคนอยู่มานานหลังคุณปู่ตาย วิญญาณเธออาจจะมาเล่นเหงาๆ และเดียวดาย...น่าสงสารออก!
เราทำบุญให้เธอ อาต้อยบอกว่าไม่กลัวหรอก ไม่เหมือนพวกเราที่กลัวแทบตาย...จำติดตาติดใจไม่มีวันลืมเลยครับ!
ขอบคุณเรื่องเล่าจากข่าวสด
บ้านคุณปู่คุณย่าของผมอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ด้านฝั่งธนฯ ถึงแม้จะไม่ใหญ่โตนักแต่ก็น่าอยู่มาก น่าเสียดายที่เมื่อท่านตายจากไป บ้านหลังนี้ถูกทิ้งให้รกร้าง จนกระทั่งเมื่อ 3 ปีก่อนคุณพ่อผมคิดจะทำที่นั่นเป็นร้านอาหาร
ตอนนั้นผมอยู่ ม.5 ช่วงปิดเทอมเดือนตุลาคมก็เลยช่วยได้เต็มที่ สนุกดีครับ
และแล้ว...คืนหนึ่งผมก็ขอไปค้างที่นั่น!
การตกแต่งภายในนั้นเสร็จเรียบร้อยแล้ว แค่รอฤกษ์เปิดร้าน เราไม่ได้เลิศหรูอะไรหรอกครับ ไม่ใช่เป็นผับเป็นบาร์ มีดนตรี แต่เป็นร้านขายสเต๊กและอาหารตามเมนูประเภท ยำ ผัดเผ็ด แกง ก๋วยเตี๋ยว สลัดและซุปต่างๆคุณแม่กับคุณอาของผมมีฝีมือครับ
อาต้อยเพิ่งลาออกจากงานไฟแนนซ์ เพราะไม่ชอบใจอะไรๆ หลายอย่าง พ่อก็เลยว่า เออ...ดี! ตั้งร้านอาหารซะเลย ให้แม่กับอาต้อยทำ แล้วจัดห้องคุณปู่คุณย่าที่ชั้นบนให้เป็นห้องนอนของอาต้อย ปกติอาต้อยก็อยู่ที่บ้านเราแถวนานานี่แหละ
พอผมเห็นห้องนอนอาต้อยที่บ้านฝั่งธนฯ จัดแต่งเสร็จแล้ว ผมก็พาเพื่อน 2 คนไปนอนที่นั่น ถือว่าเป็นการพักตากอากาศริมแม่น้ำ น่าสนุกออก แถมแม่กับอาต้อยจะลองทำอาหารกันด้วย
คืนนั้นเรากินสเต๊กกันอิ่มแปล้ เพื่อนผมอร่อยใหญ่ แม่กับอาต้อยก็ยิ้มไม่หุบ ตอนหัวค่ำน่ะมีเพื่อนๆ ของอาต้อยมาช่วยชิมอาหาร ดูๆ ไปก็เหมือนงานเลี้ยงย้อยๆ
เราอยู่กันพร้อมหน้าทั้งพ่อ แม่และอาต้อย แต่พอ 4-5 ทุ่มทุกคนก็กลับบ้านกันหมด เหลือแต่ผม 3 คนอยู่เฝ้าร้าน
พวกเรานอนดึกครับ จะเรียกว่าไม่นอนเลยก็ได้!
เวลาปิดเทอมพวกผมจะเป็นแบบนี้แหละ ขอให้มีเน็ต มีทีวี มีกีตาร์ เท่านั้นก็พอแล้ว เราจะนอนตอนไก่ขัน ผมคิดว่าเด็กวัยรุ่นบ้านอื่นๆ ก็คงเป็นแบบนี้เหมือนกันแหละ จริงไหมครับ?
บ้านคุณปู่มีระเบียงนั่งเล่นริมแม่น้ำเป็นพื้นที่กว้าง วางโต๊ะกินข้าวตัวใหญ่ๆ ได้สบาย มีกระถางสวยๆ วางเรียงไว้รอบๆ คืนนั้นผมกับเพื่อนนั่งเล่นกันตรงนี้ จนราวตี 2 กว่าๆ ฝนก็เริ่มตกพรำๆ ดวงดาวหายหมด เหลือแต่เมฆหนาสีแดงๆ เต็มผืนฟ้า
ผมกับเพื่อนต้องอพยพเข้าข้างในด้วยความเสียดาย แต่เราก็ยังเปิดประตูกระจกบานใหญ่ออกเต็มที่ ไม่รูดม่าน ปิดแต่มุ้งลวดกันยุงเข้า
บริเวณห้องรับแขกนี่ ยังไม่ได้ตั้งโต๊ะสำหรับลูกค้ามานั่งรับประทานอาหารมันก็เลยยังโล่ง มีโซฟาแสนสบายที่อาต้อยบอกว่า พอเปิดร้านจะยกโซฟาขึ้นข้างบน
เมื่อมีโซฟาเจ้าจ๊อบก็เลยขึ้นไปนอนเหยียดยาว แล้วเผลอหลับไปเลย ผมกับแอ๊ดก็ฟังเพลงจนเคลิ้มไปบ้างเหมือนกัน แต่ไม่ได้นอนนะครับ เราเอนหลังอยู่กับโซฟา ตัวก็นั่งอยู่กับพื้นห้อง ดับไฟในห้องจนมืด...โรแมนติก! เราจึงมองผ่านมุ้งลวดออกไปเห็นข้างนอกได้ถนัดตา
เราหลับไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ แต่ผมตื่นเพราะจ๊อบสะกิดเบาๆ
"เฮ้ย! ไอ้กั้ง มึงดูซิว่าที่ระเบียงน่ะมีใคร?"
มันกระซิบ น้ำเสียงบอกว่ากลัวน่าดู ผมใจหาย นึกว่า...เอาละซิ! ผีหรือโจรกันแน่? รีบขยับตัวนั่งตรง เขม้นมองไปที่ม้านั่งยาวตรงระเบียง
...เงานั้นเห็นได้ชัดว่าเป็นเด็กนักเรียนผู้หญิง อายุราว 10 ขวบ หัวทุย ถักเปีย 2 ข้าง
คุณพระคุณเจ้าช่วย! มันน่ากลัวกว่าอะไรทั้งหมด! คิดดูซิครับ ตี 2 ตี 3 เด็กที่ไหนจะมานั่งอยู่ตรงนี้? บ้านคุณปู่ไม่มีทางเดินเลาะเข้ามาได้หรอก ถ้าจะมาได้ก็แค่ทางเดียว คือ...ขึ้นมาจากน้ำ!
แอ๊ด ซึ่งนั่งพิงอยู่ปลายโซฟาด้านโน้น ตื่นขึ้นมาเห็นภาพนี้เหมือนกัน มันกระเถิบตัวเข้ามาเบียดผมกับจ๊อบ
เด็กหญิงเล่นง่วนอยู่คนเดียว เธอกระโดดหย็องๆ สักพัก แล้วทันใดนั้น ก็เหมือนเธอรู้ว่าเรา 3 คนกำลังดูเธออยู่...ร่างน้อยๆ หยุดกระโดดแล้วเดินช้าๆ มาแนบหน้ากับมุ้งลวด เอามือสองข้างประกบตรงข้างนัยน์ตาทั้งสอง ...มองกลับมาที่เรา
ผมอยากถามว่าเธอเป็นใคร? มาได้ยังไง? แต่มันพูดไม่ออกครับ คำถามนั้นก้องอยู่แต่ในหัวอก ที่หัวใจกำลังระทึก ท่ามสรรพสิ่งเงียบเชียบ มีแต่เสียงคลื่นเซาะฝั่งเบาๆ คล้ายง่วงนอนเต็มประดา
ถ้าเธอเดินผ่านมุ้งลวดเข้ามาเราจะทำยังไง? จะเผ่นไปทางไหนดี?
เมื่อเห็นว่าพวกเรากลัวสุดขีด เด็กน้อยก็ถอยหลังไปช้าๆ ใบหน้าก้มต่ำเหมือนเศร้าเสียใจ แล้วร่างก็เลือนหายไปในสายฝนพรำ...
พอได้สติ ผมเดินไปรูดม่านเพราะกลัวจะเห็นสิ่งลี้ลับจากแม่น้ำอีก จากนั้นก็เปิดไฟสว่างโร่ เราวิพากษ์วิจารณ์กันใหญ่ กลัวรึก็กลัวจนทำอะไรไม่ถูก จิ้งจกร้องก็ผลาแล้ว
รุ่งเช้า อาต้อยกับพี่ณี - แม่ครัวคนเก่งมาถึงบ้าน เราชิงกันเล่าถึงเด็กผู้หญิงลึกลับ แทนที่อาต้อยจะกลัวกลับร้องโถๆ...ไม่หยุดปาก
เธอบอกว่า เป็นไปได้ที่เด็กหญิงคนนั้นจะตายในแม่น้ำนี้ อาจจะเรือล่ม ตกน้ำตาย วิญญาณก็วนเวียน...บ้านหลังนี้ก็ไม่มีคนอยู่มานานหลังคุณปู่ตาย วิญญาณเธออาจจะมาเล่นเหงาๆ และเดียวดาย...น่าสงสารออก!
เราทำบุญให้เธอ อาต้อยบอกว่าไม่กลัวหรอก ไม่เหมือนพวกเราที่กลัวแทบตาย...จำติดตาติดใจไม่มีวันลืมเลยครับ!
ขอบคุณเรื่องเล่าจากข่าวสด
เครดิต :
ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!