ลาก่อน....น้องรัก
"รุ้ง" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากงานศพ
ดิฉันเป็นคนที่ไม่ชอบไปงานศพเลย กลัวมากๆ นิสัยไม่ดีเลยนะคะเนี่ย เพราะเคยได้ยินเขาว่ากันว่า ระหว่างงานแต่งงานกับงานศพนั้น ถ้าให้เลือก เราควรไปงานศพมากกว่า...เพราะนั่นคือการเคารพและล่ำลาครั้งสุดท้ายแล้ว
แต่คุณคะ จะทำยังไงได้ ดิฉันมันคนกลัวผีขึ้นสมองเลยเชียวละ แล้วบรรยากาศงานศพน่ะ มันสุดสยองเหลือเกินสำหรับดิฉัน! คนที่มางานทุกคนล้วนแต่งดำสนิท สีหน้าเรียบเฉย พูดคุยกันเบาๆ กลิ่นพวงหรีดก็หอมเย็นๆ น่าขนลุก แล้วยังกลิ่นธูปควันเทียน โลงศพตั้งตระหง่าน เสียงพระสวดวังเวงใจ...
ยิ่งถ้าเป็นวันรดน้ำศพด้วยแล้ว ดิฉันก็แทบขาดใจจริงๆ ค่ะ เพราะต้องทรุดตัวลงข้างร่างแข็งทื่อที่ยื่นมือซีดๆ ออกมา ดิฉันไม่กล้ามองหน้านั้นแม้แต่แวบเดียว ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม...กลัวติดตาน่ะสิคะ!
ความทรมานจะพุ่งสุดขีดเมื่อออกจากงานศพ...
นั่งรถท่ามกลางความมืดสลัว ถึงจะมีไฟถนนก็เถอะ ไม่ได้ช่วยอะไรเลย ดิฉันจะรู้สึกเสียวสันหลังวาบๆ แล้วไม่สบายใจ อัดอัดอย่างบอกไม่ถูก เมื่อกลับถึงบ้านก็ไม่กล้าอยู่คนเดียว ต้องฝืนใจเข้าห้องน้ำ รีบอาบน้ำแล้วมานั่งรวมกับคนอื่นๆ โดยที่ความรู้สึกสยดสยองจากงานศพยังตามมาหลอกหลอน...นานเชียวกว่าจะหาย บางทีต้องใช้เวลาตั้งหลายวันกว่าจะลืมเลือนไปได้ เฮ้อ! อ่อนใจ...
ด้วยเหตุฉะนี้ ดิฉันจึงหลีกเลี่ยงการไปงานศพมาตลอด จนกระทั่งเมื่อสัปดาห์ที่แล้วนี่เอง...มันเลี่ยงไม่ได้จริงๆ ค่ะคุณ
เช้าตรู่วันนั้น คุณแม่บอกข่าวร้ายทั้งน้ำตาว่า "น้องแพรว" ของดิฉันตายเสียแล้ว!
ภาพหญิงสาวที่น่ารักผุดขึ้นมาในความทรงจำทันที...
แพรวเป็นลูกสาวของคุณป้าดิฉันเอง เธออ่อนกว่าเพียงปีเศษ เราจึงสนิทสนมกันมาก เมื่อตอนเล็กๆ เราเล่นกันมาตลอด ป้าผ่องจะพาน้องแพรวมาทิ้งไว้ที่บ้านดิฉันเสมอ เราเล่นเป็นดารานักร้อง ผลัดกันขึ้นเวทีถือไมค์ร้องไปเต้นไปอย่างสนุกสนาน เราวาดรูปด้วยกัน ไปเรียนรำไทยด้วยกัน...แพรวติดดิฉันมากจนไม่ยอมกลับบ้านเมื่อแม่มารับตอนเย็น จนป้าผ่องต้องไปขนเสื้อผ้ามาให้
เมื่อเราโตขึ้นก็เริ่มห่างเหินกันออกไปทุกที ซึ่งก็เป็นปกติธรรมดาของชีวิต ที่ต่างคนต่างมีภาระของตัว ยิ่งเมื่อต่างฝ่ายต่างแต่งงาน เราก็ไม่ได้ติดต่อกันเลย จากเดือนเป็นปีและหลายๆ ปี กลายเป็นนานทีปีครั้งถึงจะได้พบกัน
จนในที่สุดรู้ว่าเธอเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่! ช่วงสุดท้ายของชีวิต แพรวก็ไม่ได้บอกใครว่าเธอเจ็บหนัก...จากไปโดยดิฉันไม่รู้ว่าเธอไปอยู่ไอซียูที่โรงพยาบาล
ทั้งๆ ที่ไม่ชอบไปงานศพ แต่ดิฉันก็ไปงานของแพรวอย่างเต็มอกเต็มใจ
ในงานนั้น ดิฉันเป็นคนที่นั่งใกล้โลงทองมากที่สุด และนึกแปลกใจว่าทำไมถึงไม่ค่อยกลัวอย่างที่เคยเป็นมาก่อนนี้?
เมื่อพระสวดจบ คุณแม่รีบกลับบ้านเพราะเป็นห่วงคุณพ่อที่ไม่สบาย เราออกจากงานอย่างรวดเร็ว ดิฉันจำได้เพียงหันไปลาป้าผ่อง แล้วเหลือบมองโลงศพทองอร่าม...
ลมหนาวพัดวูบ...ขณะที่เดินผ่านศาลาต่างๆ ดิฉันรู้สึกว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งเดินเข้ามาติดตัวดิฉัน...เธออยู่ชิดมากทางไหล่ด้านขวาเยื้องไปทางข้างหลัง พอหันขวับไปก็ไม่เห็นใครสักคน...แต่ดิฉันแน่ใจว่ามีใครบางคนเดินตามมาติดๆ
ทันใดนั้น ดิฉันก็รับรู้อย่างแรงกล้าว่า...ผู้ที่เดินตามมาคือน้องแพรว!
ไม่รู้ว่ารู้ได้ยังไง แต่ความรู้สึกชัดเจนที่สุด เธออยู่ตรงนี้...เดินมาส่งดิฉัน ร่างที่มองไม่เห็นแทบจะแนบกับไหล่ของดิฉันเลยทีเดียว
"แพรว...ขอบคุณที่มาส่ง กลับไปอยู่กับลูกเถอะ" ดิฉันพึมพำ ลูกชายของเธออายุเพิ่งหกขวบ น่ารักมากๆ ฉลาดเป็นกรด น่าใจหายที่ความตายมาพรากแม่ลูกนี้ไปจากกัน
แพรวยังเดินชิดไหล่ดิฉันมาถึงประตูวัด ซึ่งเปิดออกสู่ลานจอดรถ และรถของดิฉันก็จอดอยู่ใกล้ๆ นั่นเอง...ความรู้สึกบอกว่าแพรวยืนอยู่แค่ประตู ส่วนดิฉันเดินตรงไปที่รถ...เธอยังอยู่ตรงนั้น! ดิฉันมั่นใจมากเมื่อมองไปยังจุดที่ว่างเปล่า...เธอยังยืนส่งดิฉัน เปี่ยมด้วยความรักเหมือนตอนที่เราเป็นเด็ก...
ดิฉันเลี้ยวรถจากมาโดยที่หันไปยิ้มให้...ไม่กลัวสักนิด แต่อบอุ่นเหลือเกิน
หลายวันต่อมา ดิฉันเล่าให้ป้าผ่องฟังว่าคืนนั้นแพรวตามมาส่งถึงรถ ป้าผ่องขนลุกและบอกว่า แพรวมาหาป้าผ่องในลักษณะนั้นเช่นกัน คือมายืนแนบชิดอยู่ทางด้านหลังเหมือนเอนพิงตรงบ่า...เธอมาแค่หนเดียวเท่านั้นเอง
ทุกคืนดิฉันยังสวดมนต์ถึงแพรวด้วยความรัก และนึกขอบใจที่เธอไม่ได้ทำให้รู้สึกกลัวเลย...ไม่แน่นะ เหตุการณ์นี้อาจจะทำให้ดิฉันหายจากโรคกลัวงานศพก็ได้ค่ะ!
ขอบคุณเรื่องเล่าจากข่าวสด
ดิฉันเป็นคนที่ไม่ชอบไปงานศพเลย กลัวมากๆ นิสัยไม่ดีเลยนะคะเนี่ย เพราะเคยได้ยินเขาว่ากันว่า ระหว่างงานแต่งงานกับงานศพนั้น ถ้าให้เลือก เราควรไปงานศพมากกว่า...เพราะนั่นคือการเคารพและล่ำลาครั้งสุดท้ายแล้ว
แต่คุณคะ จะทำยังไงได้ ดิฉันมันคนกลัวผีขึ้นสมองเลยเชียวละ แล้วบรรยากาศงานศพน่ะ มันสุดสยองเหลือเกินสำหรับดิฉัน! คนที่มางานทุกคนล้วนแต่งดำสนิท สีหน้าเรียบเฉย พูดคุยกันเบาๆ กลิ่นพวงหรีดก็หอมเย็นๆ น่าขนลุก แล้วยังกลิ่นธูปควันเทียน โลงศพตั้งตระหง่าน เสียงพระสวดวังเวงใจ...
ยิ่งถ้าเป็นวันรดน้ำศพด้วยแล้ว ดิฉันก็แทบขาดใจจริงๆ ค่ะ เพราะต้องทรุดตัวลงข้างร่างแข็งทื่อที่ยื่นมือซีดๆ ออกมา ดิฉันไม่กล้ามองหน้านั้นแม้แต่แวบเดียว ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม...กลัวติดตาน่ะสิคะ!
ความทรมานจะพุ่งสุดขีดเมื่อออกจากงานศพ...
นั่งรถท่ามกลางความมืดสลัว ถึงจะมีไฟถนนก็เถอะ ไม่ได้ช่วยอะไรเลย ดิฉันจะรู้สึกเสียวสันหลังวาบๆ แล้วไม่สบายใจ อัดอัดอย่างบอกไม่ถูก เมื่อกลับถึงบ้านก็ไม่กล้าอยู่คนเดียว ต้องฝืนใจเข้าห้องน้ำ รีบอาบน้ำแล้วมานั่งรวมกับคนอื่นๆ โดยที่ความรู้สึกสยดสยองจากงานศพยังตามมาหลอกหลอน...นานเชียวกว่าจะหาย บางทีต้องใช้เวลาตั้งหลายวันกว่าจะลืมเลือนไปได้ เฮ้อ! อ่อนใจ...
ด้วยเหตุฉะนี้ ดิฉันจึงหลีกเลี่ยงการไปงานศพมาตลอด จนกระทั่งเมื่อสัปดาห์ที่แล้วนี่เอง...มันเลี่ยงไม่ได้จริงๆ ค่ะคุณ
เช้าตรู่วันนั้น คุณแม่บอกข่าวร้ายทั้งน้ำตาว่า "น้องแพรว" ของดิฉันตายเสียแล้ว!
ภาพหญิงสาวที่น่ารักผุดขึ้นมาในความทรงจำทันที...
แพรวเป็นลูกสาวของคุณป้าดิฉันเอง เธออ่อนกว่าเพียงปีเศษ เราจึงสนิทสนมกันมาก เมื่อตอนเล็กๆ เราเล่นกันมาตลอด ป้าผ่องจะพาน้องแพรวมาทิ้งไว้ที่บ้านดิฉันเสมอ เราเล่นเป็นดารานักร้อง ผลัดกันขึ้นเวทีถือไมค์ร้องไปเต้นไปอย่างสนุกสนาน เราวาดรูปด้วยกัน ไปเรียนรำไทยด้วยกัน...แพรวติดดิฉันมากจนไม่ยอมกลับบ้านเมื่อแม่มารับตอนเย็น จนป้าผ่องต้องไปขนเสื้อผ้ามาให้
เมื่อเราโตขึ้นก็เริ่มห่างเหินกันออกไปทุกที ซึ่งก็เป็นปกติธรรมดาของชีวิต ที่ต่างคนต่างมีภาระของตัว ยิ่งเมื่อต่างฝ่ายต่างแต่งงาน เราก็ไม่ได้ติดต่อกันเลย จากเดือนเป็นปีและหลายๆ ปี กลายเป็นนานทีปีครั้งถึงจะได้พบกัน
จนในที่สุดรู้ว่าเธอเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่! ช่วงสุดท้ายของชีวิต แพรวก็ไม่ได้บอกใครว่าเธอเจ็บหนัก...จากไปโดยดิฉันไม่รู้ว่าเธอไปอยู่ไอซียูที่โรงพยาบาล
ทั้งๆ ที่ไม่ชอบไปงานศพ แต่ดิฉันก็ไปงานของแพรวอย่างเต็มอกเต็มใจ
ในงานนั้น ดิฉันเป็นคนที่นั่งใกล้โลงทองมากที่สุด และนึกแปลกใจว่าทำไมถึงไม่ค่อยกลัวอย่างที่เคยเป็นมาก่อนนี้?
เมื่อพระสวดจบ คุณแม่รีบกลับบ้านเพราะเป็นห่วงคุณพ่อที่ไม่สบาย เราออกจากงานอย่างรวดเร็ว ดิฉันจำได้เพียงหันไปลาป้าผ่อง แล้วเหลือบมองโลงศพทองอร่าม...
ลมหนาวพัดวูบ...ขณะที่เดินผ่านศาลาต่างๆ ดิฉันรู้สึกว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งเดินเข้ามาติดตัวดิฉัน...เธออยู่ชิดมากทางไหล่ด้านขวาเยื้องไปทางข้างหลัง พอหันขวับไปก็ไม่เห็นใครสักคน...แต่ดิฉันแน่ใจว่ามีใครบางคนเดินตามมาติดๆ
ทันใดนั้น ดิฉันก็รับรู้อย่างแรงกล้าว่า...ผู้ที่เดินตามมาคือน้องแพรว!
ไม่รู้ว่ารู้ได้ยังไง แต่ความรู้สึกชัดเจนที่สุด เธออยู่ตรงนี้...เดินมาส่งดิฉัน ร่างที่มองไม่เห็นแทบจะแนบกับไหล่ของดิฉันเลยทีเดียว
"แพรว...ขอบคุณที่มาส่ง กลับไปอยู่กับลูกเถอะ" ดิฉันพึมพำ ลูกชายของเธออายุเพิ่งหกขวบ น่ารักมากๆ ฉลาดเป็นกรด น่าใจหายที่ความตายมาพรากแม่ลูกนี้ไปจากกัน
แพรวยังเดินชิดไหล่ดิฉันมาถึงประตูวัด ซึ่งเปิดออกสู่ลานจอดรถ และรถของดิฉันก็จอดอยู่ใกล้ๆ นั่นเอง...ความรู้สึกบอกว่าแพรวยืนอยู่แค่ประตู ส่วนดิฉันเดินตรงไปที่รถ...เธอยังอยู่ตรงนั้น! ดิฉันมั่นใจมากเมื่อมองไปยังจุดที่ว่างเปล่า...เธอยังยืนส่งดิฉัน เปี่ยมด้วยความรักเหมือนตอนที่เราเป็นเด็ก...
ดิฉันเลี้ยวรถจากมาโดยที่หันไปยิ้มให้...ไม่กลัวสักนิด แต่อบอุ่นเหลือเกิน
หลายวันต่อมา ดิฉันเล่าให้ป้าผ่องฟังว่าคืนนั้นแพรวตามมาส่งถึงรถ ป้าผ่องขนลุกและบอกว่า แพรวมาหาป้าผ่องในลักษณะนั้นเช่นกัน คือมายืนแนบชิดอยู่ทางด้านหลังเหมือนเอนพิงตรงบ่า...เธอมาแค่หนเดียวเท่านั้นเอง
ทุกคืนดิฉันยังสวดมนต์ถึงแพรวด้วยความรัก และนึกขอบใจที่เธอไม่ได้ทำให้รู้สึกกลัวเลย...ไม่แน่นะ เหตุการณ์นี้อาจจะทำให้ดิฉันหายจากโรคกลัวงานศพก็ได้ค่ะ!
ขอบคุณเรื่องเล่าจากข่าวสด
เครดิต :
ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!