ไปสู่หนไหน...


ไปสู่หนไหน...

"แพ้ท" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากเพื่อนบ้าน

คุณตาสำเริงอยู่บ้านตรงข้ามกับผมที่ย่านสวนหลวงนี่เอง ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เกี่ยวดองเป็นญาติกันก็จริงอยู่ แต่ผมรู้สึกเคารพและสนิทใจกับชายชราวัยเจ็ดสิบปลาย อดีตข้าราชการชั้นผู้ใหญ่คนนี้อย่างบอกไม่ถูก

อย่างที่เขาบอกว่า คนชะตาต้องกันก็รักใคร่กลมเกลียวกันนั่นแหละครับ

อาจจะเป็นเพราะความมีสง่าราศี ผิวพรรณสะอาด หน้าตายิ้มแย้ม แววตาเยือกเย็นไม่เคยแสดงความรู้สึกอะไรรุนแรง อาจจะเป็นเพราะประสบการณ์ชีวิตเคี่ยวกรำ ผ่านทั้งร้อนและหนาวมาอย่างโชกโชนก็เป็นได้

ตอนบ่ายๆ คุณตาสำเริงจะนุ่งกางเกงแพร สวมเสื้อป่านคอกลมออกมานั่งจิบชาจีนอยู่ใต้ร่มมะม่วงสามฤดูที่แผ่กิ่งก้านสาขาร่มครึ้ม...บนโต๊ะไม่เคยขาดหนังสือครั้งละสอง-สามเล่ม บางวันผมก็จะเลียบๆ เคียงๆ เข้าดูต้นไม้กระถางที่งามสะพรั่ง เพราะคุณตาสำเริงจะคอยดูแล ให้ปุ๋ยให้น้ำสม่ำเสมอ...หนังสือเล่มหนึ่งที่ผมเคยเห็นคือ "คู่มือเลี้ยงต้นไม้กระถาง"

คุณตาจะชวนผมพูดคุย ถามเรื่องการเรียนและอวยชัยให้พรให้เรียนสำเร็จโดยเร็ว...สมบัติอื่นๆ มาถึงแล้วก็จากไป แต่วิชาความรู้จะติดตัวเราไปจนตาย!

เป็นการสั่งสอนแบบผู้ใหญ่สอนเด็กน่ะแหละครับ แต่ไม่ฟูมฟายหรือพร่ำเพรื่อเกินไปจนน่ารำคาญ

"อยากเรียนจบเร็วๆ มีงานทำเร็วๆ ใช่ไหมล่ะ จะได้เป็นตัวของตัวเอง เงินก้อนแรกที่ได้มาด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเองน่ะทั้งน่าตื่นเต้น น่าชื่นใจ...ตอนนี้กาลเวลาช่างผ่านไปเชื่องช้าเหลือเกินนะ..."

คุณตาละจากใบหน้าผม มองไปยังความว่างเปล่าพลางยิ้มละไม

"สมัยหนุ่มตาก็เป็นแบบนี้แหละ จนกระทั่งอายุเลยสี่สิบรู้สึกว่าเวลามันผ่านไปเร็วผิดปกติ ยิ่งถึงห้าสิบ-หกสิบ เวลาเหมือนมันติดปีกบิน...มารู้ตัวอีกทีเราก็กลายเป็นคนแก่เฒ่าไปเสียแล้ว ต่อให้ร่ำร้องแทบขาดใจก็ไม่มีวันเรียกวัยหนุ่มที่แข็งแรง สดชื่น ชีวิตมีแต่ความหวังความฝันกลับคืนมาได้สำเร็จ! เฮ้อ.."

ชายชราหันมามองสบตาผม ยิ้มละไมตามเดิม เสียงแหบเครือด้วยวัยชราดูราวกับจะสดใสอย่างมีชีวิตชีวาเมื่อพูดต่อ

"เราต้องอยู่กับความแก่เฒ่าร่วงโรยของสังขารให้ได้ ย่อมรับความเสื่อมโทรมของร่างกาย ไม่ดิ้นรนหาความสุขที่เราเคยตักตวงให้ตัวเองอย่างไม่อั้นในวัยหนุ่ม...คนที่ทำใจไม่ได้ทนรับความจริงไม่ไหวก็ตายจากไป เพื่อนๆ ตากลับบ้านเก่าเพราะยอมรับความจริงไม่ได้ เฉาตายไปตั้งแต่เกษียณใหม่ๆ หลายคนแล้ว"

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ทำให้ผมนึกถึงเพื่อนๆ คุณตาสำเริงราว 6-7 คนที่มาสังสรรค์กันเดือนละครั้งที่โต๊ะใหญ่ใต้ร่มมะม่วง...พวกคุณป้าคุณน้าช่วยกันทำอาหารและบริการเครื่องดื่มแทนคุณแม่ที่ล่วงลับไปเมื่อราว 5 ปีก่อน

ชายชราหลากหลายอาชีพ ทั้งวิศวกร, นักกฎหมาย, แพทย์, ข้าราชการบำนาญและพ่อค้า...มานั่งร่วมวงพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ตั้งแต่ตอนบ่ายจนถึงใกล้ค่ำถึงจะแยกย้ายกันไป...มีอยู่ 2 คนที่ขับรถได้เอง นอกนั้นต้องมีลูกหลานขับรถมารับกลับบ้าน

ผมเคยผ่านไปใกล้ๆ วงจนได้ยินเสียงพูดคุยสารพัดเรื่อง ตั้งการเมือง เศรษฐกิจและสังคม ความเจริญรุ่งเรืองของบ้านเมือง วิทยาการแผนใหม่ที่ทุกคนยอมรับว่าตามไม่ทัน

เรื่องราวเก่าๆ ที่น่าสนุกสนานตื่นเต้นในวัยหนุ่มฉกรรจ์...บางครั้งชะโงกหน้าเข้าไปหากัน นัยน์ตาสีน้ำข้าวเป็นประกายตื่นเต้น ลดเสียงลงกระซิบกระซาบ ก่อนจะฮาตึง...หัวเราะท้องคัดท้องแข็งไปตามๆ กัน

ผมรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงกระซิบจากสุสาน...เสียงหัวเราะเริงร่าจากดวงวิญญาณ!

น่าเศร้าที่สมาชิกในชมรมของคุณตาสำเริงค่อยๆ หดหายไปทุกที จนกระทั่งเหลืออยู่ 3 คนที่นั่งเงียบๆ แทบจะไม่เคลื่อนไหว มองเผินๆ เหมือนรูปปั้นอันเป็นตัวแทนของมนุษย์ที่เกิดขึ้น เติบโต แล้วร่วงโรยเหมือนใบไม้สีน้ำตาลเข้มดูแห้งแล้งเต็มที ร่อนไหวเชื่องช้าอย่างอาลัยอาวรณ์...ก่อนจะร่วงหล่นบนพื้นพสุธา

เงียบเชียบไม่ผิดกับใบไม้ร่วงในป่า หรือสายลมที่พัดวู่หวิวอยู่ตามขุนเขาวังเวงใจ

คืนนั้น ผมเดินเข้าซอยมาราวสองทุ่มเศษ ผู้คนบางตาเพราะอากาศค่อนข้างหนาวเย็น...ผมเห็นคุณตาสำเริงกำลังใส่กุญแจประตูรั้วเหล็กโปร่ง นึกได้ว่าอาทิตย์นี้เป็นวันสังสรรค์กับเพื่อนๆ ของคุณตา...พอดีเสียงหัวเราะเบาๆ ก็ดังขึ้น

"เพื่อนๆ ตาไม่มีใครมาอีกแล้ว...กลับบ้านเก่ากันหมดทุกคน! ลาที..."

วันรุ่งขึ้น ผมก็ได้รู้ข่าวว่าคุณตาสำเริงหกล้มในห้องนอนเมื่อเย็นวาน กว่าลูกเต้าจะรู้และนำส่งโรงพยาบาลก็สายเกินไป... นึกถึงคุณตาที่สนิทสนมกับผมเหมือนญาติ มาคอยเอ่ยคำล่ำลาเป็นครั้งสุดท้าย ทั้งใจหายและขนหัวลุกครับ!


ขอบคุณเรื่องเล่าจากข่าวสด


เครดิต :

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์