เสียงสยอง


เสียงสยอง

"แก้ว" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากหน้าบ้าน

ว่ากันว่า คนที่อยู่บ้านตัวเองไม่ต้องกลัวว่าจะถูกผีหลอก เพราะมีเจ้าที่เจ้าทางและเจ้าบ้านเจ้าเรือน ซึ่งก็คือวิญญาณของบรรพบุรุษนั่นแหละค่ะ ที่คอยคุ้มครองไม่ให้สัมภเวสีหรือผีพเนจรเข้ามาหลอกหลอนคนในบ้านได้

ดิฉันยอมรับว่าเป็นคนกลัวผีมากๆ ได้ยินใครบอกว่าไม่กลัวผีมักจะไม่ค่อยเชื่อนัก คิดว่าเขาปากแข็งมากกว่า ดิฉันเองระมัดระวังตัวมาตลอดเพราะความกลัวผี จะมียกเว้นก็ผีบ้านผีเรือน หรือปู่ย่าตายายที่ล่วงลับไปแล้วเท่านั้นที่แม้จะไม่กลัว แต่ก็อดรู้สึกหวาดๆ ไม่ได้...ทางที่ดีอย่ามาให้หนูเห็นเลยนะคะ! บรื๋อส์...

จนกระทั่งวันหนึ่งได้เกิดเหตุการณ์แปลกประหลาดและน่าสยดสยองที่สุดในชีวิต!

ดิฉันเรียนจบและออกมาทำงานได้ปีเศษ พ่อแม่ก็อายุเพิ่งจะต้นห้าสิบทั้งคู่ ถือว่ายังไม่แก่เฒ่านะคะ บ้านที่เรามาอยู่แถวแครายได้สิบกว่าปีก็ไม่มีใครเจ็บไข้ได้ป่วย รวมทั้งป้าอิ่มคนรับใช้เก่าแก่ที่อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่ดิฉันยังเด็กๆ ก็สุขภาพแข็งแรงดีมากค่ะ

พ่อดิฉันทำงานระดับสูงในหน่วยงานราชการ มีลูกน้องมากมายทั้งชายและหญิง ใครมีปัญหาเดือดเนื้อร้อนใจต่างๆ ก็มาปรึกษาพ่อ ส่วนมากมักไม่ผิดหวัง ดูเหมือนพ่อจะไม่เคยปฏิเสธใครเลย!

ไม่เคยมีใครเดือดร้อนมาหาพ่อ แล้วจะกลับไปด้วยความผิดหวัง

ยิ่งกว่านั้นก็คือการให้คำแนะนำ ชี้ทางออกชัดเจน รับเอาปัญหาต่างๆ น่าปวดหัวเหล่านั้นมาเป็นปัญหาของตัวเอง...ไม่ว่าเรื่องการงาน ปัญหาครอบครัว รวมทั้งปัญหาการขาดเงิน

ที่บ้านตั้งวงกันทุกอาทิตย์ ตั้งแต่ราวสี่โมงเย็นเป็นต้นไป...

ขาประจำก็คือลุงสมควร, อาศร, คุณชิน, น้าแป๊ะ ฯลฯ

อาศร-อายุราว 40 เศษ เป็นพ่อม่ายเมียตาย ชอบควบมอเตอร์ไซค์มาเป็นคนสุดท้าย เพราะแวะซื้อกับแกล้มสองสามอย่างติดมือมาเป็นประจำ มาถึงก็มีเรื่องตลกๆ มาเรียกเสียงหัวเราะครึกครื้น....วันไหนอาศรไม่ได้มาเราจะรู้สึกวงเหล้าเงียบเหงาไปถนัด

บางคนก็พาครอบครัวมาด้วย มีอาหารหรือกับแกล้มมาเพิ่มเติม ผู้หญิงบางคนที่สนิทสนมกับแม่ก็ขอเข้าครัวไปจัดอาหารใส่จาน ช่วยยกน้ำแข็งและโซดาอย่างเป็นกันเอง

คืนเกิดเหตุ...วงเหล้าของพ่อค่อนข้างเหงากว่าเดิม เพราะอาศรโทรศัพท์มาบอกว่า ไปเยี่ยมบ้านที่โคราชตั้งแต่วันเสาร์ คิดว่าคงจะกลับกรุงเทพฯ ไม่ทัน...หมดสนุกกันพอดี!

ราว 3 ทุ่มแขกเหรื่อก็ทยอยกันกลับ น้าแป๊ะพาลูกชายซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ออกไปเป็นคนสุดท้าย ดิฉันเดินตามห่างๆ เพื่อไปปิดประตูรั้ว...ไม่รู้อาแป๊ะนึกยังไงถึงหยุดรถแล้วหันไปยกมือไหว้ศาลพระภูมิที่มุมรั้วด้านซ้าย

"ขับดีๆ นะคะ" ดิฉันร้องเตือน "น้องเป้ต้องกอดเอวคุณพ่อแน่นๆ นะจ๊ะ"

สองพ่อลูกหันมายิ้มและโบกมือให้ ครู่หนึ่งก็เลี้ยวรถลับสายตาไป...

ดิฉันก็ขึ้นนอนราวสี่ทุ่มครึ่ง กำลังเคลิ้มหลับก็ได้ยินเสียงกริ่งประตูดังขึ้นติดๆ กัน! ใครมาหาดึกๆ ดื่นๆ แบบนี้นะ? ป้าอิ่มออกไปดูแต่ไม่เห็นใครเลย...สักครู่ก็ได้ยินเสียงใครมากดกริ่งยาวๆ อีกแล้ว คราวนี้พ่อแม่ถึงกับลงไปเปิดไฟดูเอง

ดิฉันเอะใจจนต้องลุกไปแหวกม่านหน้าต่างมอง เห็นพ่อส่องไฟฉายตามสนามและริมรั้ว แต่สรรพสิ่งก็ดูสงบเงียบ ไม่มีวี่แววว่าจะมีใครอยู่แถวนั้น...แล้วพ่อก็กลับเข้าบ้านตามเดิม

คุณพระช่วย! เสียงนั้นดังขึ้นอีกแล้ว เสียงทุบประตูรั้วแรงๆ จนดังก้องในความเงียบยามดึก คล้ายๆ กับคนที่มากดกริ่งตอนแรกจะคิดว่ากริ่งบ้านเราเสีย เลยใช้วิธีทุบประตูแทน

พ่อตะโกนลงไปว่า...ใครน่ะ? ดิฉันยืนมองจากหน้าต่างอีกครั้ง เห็นร่างตะคุ่มๆ ยืนก้มหน้าอยู่ที่ประตู...พ่อบอกให้แม่อยู่ในบ้านแล้วถือปืนลงไปด้วย ดิฉันใจเต้นระทึก รีบคว้าเสื้อคลุมวิ่งตามหลังพ่อลงไป...ชั้นล่างไฟสว่างจ้า ป้าอิ่มกำลังนั่งร้องไห้สะอึกสะอื้นจนเราเอะใจ ถามว่าเกิดอะไรขึ้น? ใครมา?

ป้าอิ่มเงยหน้าอาบน้ำตาขึ้นมอง เนื้อตัวสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัวขนาดหนัก พูดเสียงสั่นๆ ว่า...คุณศรขี่มอเตอร์ไซค์มาทุบประตูรั้วเรียกเราค่ะ!

พ่อถลันออกไป ดิฉันตามติด...หนาวยะเยือกจับใจ มองเห็นร่างตะคุ่มๆ ที่ยืนอยู่หน้าประตูรั้ว "อาศร!" ดิฉันหลุดปากโดยไม่รู้ตัว ขณะที่ร่างนั้นค่อยๆ เลือนรางจางหายราวจะกลายเป็นอากาศธาตุไปต่อหน้าต่อตา

อาศรบึ่งมอเตอร์ไซค์มาจากโคราชตั้งแต่ตอนเย็น เกิดอุบัติเหตุแถวทับกวาง จนไปตายที่โรงพยาบาลราวสองยาม...สิ่งที่โลดลิ่วมาหาเราถึงบ้านจะเป็นเจตภูตหรือวิญญาณกันแน่คะ? แต่ทำให้ขนหัวลุกจริงๆ ค่ะ



ขอบคุณข้อมูลจากข่าวสด


เครดิต :

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์