ผีกระต่ายจาม!
"ป้างาม" เล่าเรื่องขนหัวลุกจากป่าช้าผีดุ
ป้าเพิ่งเล่าเรื่อง "ป่าช้าผีดิบ" กับ "ป่าช้าผีแห้ง" ไปหยกๆ พอดีมีหลานยายพาเพื่อนจากกรุงเทพฯ มาเที่ยวอยุธยา แหม! ป้าเห็นการแต่งเนื้อแต่งตัวของแม่พวกสาวๆ สมัยใหม่แล้วแทบจะเป็นลมตาย!
คุณเธอสวมเสื้อยืดคอกว้างแขนกุด แหม...ก็เสื้อกล้ามเราดีๆ นี่แหละคุณ อวดหน้าท้องขาวจั๊วะเหมือนท้องหนูพุกเชียว กางกุ้งกางเกงของแม่เจ้าประคุณทูนหัว...แค่คืบเดียวเท่านั้นจริงๆ ถ้ามดเท็จล่ะก็ให้ป้าตายไปอย่าได้พบพระพบเจ้าเถอะค่ะ
ขอบกางเกงอยู่ใต้ท้องน้อย...แปะติดตรงนั้นแหละค่ะเอาไว้แทบไม่มิด ขากางเกงก็เสมอเป้า แถมเว้าขึ้นไปทั้งสองข้างอีกต่างห่าง โชว์ก้นกอยกับขาอ่อนขาวจั๊วะชนิดถึงไหนถึงกัน ทำไมแม่เจ้าประคุณถึงไม่แก้ผ้าแก้ผ่อนออกมาเดินอวดชาวบ้านให้สิ้นเรื่องสิ้นราวไปก็ไม่รู้ซีคุณ?
แหม! พวกเจ้าหนุ่มเจ้าแก่เห็นเข้าถึงกับตาลุกตาชัน จ้องมองเหมือนลูกกะตาจะถลนออกมานอกเบ้า พวกแม่สาวๆ ชาวกรุงน่ะหรือคะ? โอ๊ย! เจ้าหล่อนไม่อับอายอะไรหรอก...ไม่สนใจไยดีซะด้วยซ้ำ ดูเหมือนจะชอบอกชอบใจซะอีกที่มีพวกผู้ชายมาจ้องมองเหมือนจะจัดการแก้ผ้าแก้ผ่อนด้วยมือของนัยน์ตา...ว่าไปนั่นเลย! ฮิฮิ
ในที่สุดก็มาถึงเรื่องขนหัวลุกจนได้ เมื่อป้าเล่าเรื่องป่าช้าผีสดกับป่าช้าผีแห้งให้ฟัง
"ไอ้ต้นกระต่ายจามนี่มันเป็นยังไงคะ? คุณป้าขา" เพื่อนหลานป้าชื่อหนูแอร์ถามขึ้น ทำตากะแป๋วแหวว แอ๊บแบ๊วน่าตบ...เอ๊ย! น่าร้าก...ป้าก็ทำเป็นพูดช้าๆ เนิบๆ อธิบายในอาการของคนภูมิเยอะ พอให้เข้าใจว่า...
ชื่อเป็นทางการคือ "การบูรป่า" เป็นไม้ล้มลุกชนิดหนึ่ง ขึ้นตามป่าเบญจพรรณทั่วไป ต้นสูงประมาณ 30 เซนติเมตร ใบเดี่ยว ออกตรงข้ามกัน ขอบใบจักถี่ มีกลิ่นคล้ายกะเพราและโหระพา ดอกเล็กสีม่วงออกเป็นช่อเรียวยาวตามง่ามใบและยอด ชาวบ้านเรียก ข้าวคำ หรือ พริกกระต่าย, กระต่ายจาม
อีกชนิดหนึ่งชื่อกระต่ายจามตรงๆ ชอบขึ้นตามพื้นที่ลุ่มต่ำ แฉะ ต้นเตี้ยติดดินคล้ายต้นผักเบี้ย ใบเล็กเว้าเข้าทั้งสองด้าน ปลายใบแหลมคล้ายสามง่าม ใบมีกลิ่นเหม็น ใช้ทำยาได้ บ้างก็เรียกว่า กระต่ายจันทร์, สาบแร้ง, หญ้ากระจาม หรือหญ้าจาม สรุปว่า ทั้งคนทั้งกระต่ายไปดมเอาใบแห้งๆ เข้าก็จามฮัดเช้ย...หูตาสว่างไสวทั้งนั้นแหละ หนูจ๋า...
"คุณป้าเล่าว่าต้นกระต่ายจามชอบขึ้นในป่าช้าผีแห้ง ที่อื่นๆ ไม่มีมั่งหรือคะ? หนูไม่เคยเห็นในกรุงเทพฯ ซักครั้งเดียว" หนูแอร์ซักไซ้ขึ้นมา แม่แก้มหลานสาวป้าก็เสริมขึ้นว่าหนูก็ไม่เคยเห็นเหมือนกัน...ถ้าไปดูที่ป่าช้าจะเห็นมั้ยคะ?
ป้าตอบไปตามตรงว่าป้าไม่ได้มีธุระปะปังไปที่นั่นนานมาแล้ว อาจจะยังอยู่หรือไม่อยู่ก็ได้ อยากรู้ต้องไปดูเอาเอง...หนูแอร์ดีใจตบมือจนอกกระเพื่อม
"พรุ่งนี้บ่ายๆ ไปดูกันนะ แก้ม...คืนนี้นอนเถอะ ดึกล้าว..."
ป้าฟังแล้วถึงกับอ้าปากค้างเลยค่ะ...ไม่รู้ว่า "ดึกล้าว" กับ "ดึกแล้ว" ของหนูแบ...เอ๊ย! หนูแอร์นี่มันจะแปลความอย่างเดียวกันหรือเปล่า...ดัด...เอ๊ย! น่ารักจริงจริ๊งแม่คุณ! เฮ้อ...
วันรุ่งขึ้นตอนบ่ายพวกสาวๆ พากันไปทัศนาจรป่าช้า ส่วนป้าก็จัดการเข้าครัวทำกับข้าวพวกกุ้งและปลาให้เด็กๆ กิน แม่แก้มหลานป้าบอกว่าอยากกินฉู่ฉี่ปลาน้ำเงิน...บอกว่าอยากอวดฝีมือป้าว่าเจ๋งแค่ไหน! ดูมันช่างพูดให้คนแก่ชื่นอกชื่นใจ ยอมเหนื่อยเพราะบ้ายอนี่เอง
อ้าว? เวลาผ่านไปชั่วโมงกว่า พวกสาวๆ ก็วิ่งกระหืดกระหอบหน้าตาซีดเซียวกลับบ้าน บอกว่าโดนผีหลอกเข้าให้...ป้าไม่อยากเชื่อเลยถามว่าผีมันหลอกยังไงยะหล่อน?
แม่แก้มกับหนูแอร์เล่าว่า ที่ป่าช้าแห้งไม่มีกระต๊อบเก็บผีใส่โลงไว้เหมือนสมัยก่อนอีกแล้ว แต่มีพวกกอไผ่หลายกอ, ต้นไม้เล็กๆ อย่างสะแก, ข่อย และไม้พุ่มอย่างมะกล่ำตาหนู...มองหากระต่ายจามเท่าไหร่ก็ไม่พบ คิดว่าคงจะสูญพันธุ์ไปแล้ว
ขณะนั้นเมฆหนาทึบก็เคลื่อนเข้ามาบังแสงอาทิตย์ อากาศเย็นวูบ ลมแรงๆ พัดซ่าจนขนลุกซู่...กระต่ายอวบอ้วนสีขาวตัวหนึ่งกระโดดหยองๆ จากไหนไม่รู้มาที่โคนกอไผ่แล้วเอียงคอมองพวกสาวๆ อย่างสนใจ
คุณพระคุณเจ้า! ฉับพลันทันใดนั้น กระต่ายเจ้ากรรมก็ยกหัวขึ้นแล้วสะบัดหน้าทำท่าจามแฟ้ดออกมาเสียงดัง...ฮัดเช้ย!!
หนูแบ...เอ๊ย! หนูแอร์ร้องวี้ดสุดเสียง กระโดดกอดหนูแก้ม เพราะเสียงกระต่ายจามนั่นมันคือเสียงคนชัดๆ พร้อมกับเสียงกอไผ่โดนลมเบียดเสียดกันดังออดแอด พอมองเข้าไปก็ตัวแข็งทื่อไปตามๆ กันเมื่อเห็นร่างผู้ชายดำมะเมื่อมยืนตาแดงจ้าอยู่กลางกอไผ่นั่นเอง
หนูแอร์ขอตัวกลับกรุงเทพฯ เย็นนั้นเอง บอกว่าทนอยู่ไม่ไหว...ภาพของผีตนนั้นมันติดหูติดตาเหลือเกิน! เล่นเอาป้าพลอยขนหัวลุกไปอีกคนค่ะ!
ขอบคุณเรื่องเล่าจากข่าวสด
ป้าเพิ่งเล่าเรื่อง "ป่าช้าผีดิบ" กับ "ป่าช้าผีแห้ง" ไปหยกๆ พอดีมีหลานยายพาเพื่อนจากกรุงเทพฯ มาเที่ยวอยุธยา แหม! ป้าเห็นการแต่งเนื้อแต่งตัวของแม่พวกสาวๆ สมัยใหม่แล้วแทบจะเป็นลมตาย!
คุณเธอสวมเสื้อยืดคอกว้างแขนกุด แหม...ก็เสื้อกล้ามเราดีๆ นี่แหละคุณ อวดหน้าท้องขาวจั๊วะเหมือนท้องหนูพุกเชียว กางกุ้งกางเกงของแม่เจ้าประคุณทูนหัว...แค่คืบเดียวเท่านั้นจริงๆ ถ้ามดเท็จล่ะก็ให้ป้าตายไปอย่าได้พบพระพบเจ้าเถอะค่ะ
ขอบกางเกงอยู่ใต้ท้องน้อย...แปะติดตรงนั้นแหละค่ะเอาไว้แทบไม่มิด ขากางเกงก็เสมอเป้า แถมเว้าขึ้นไปทั้งสองข้างอีกต่างห่าง โชว์ก้นกอยกับขาอ่อนขาวจั๊วะชนิดถึงไหนถึงกัน ทำไมแม่เจ้าประคุณถึงไม่แก้ผ้าแก้ผ่อนออกมาเดินอวดชาวบ้านให้สิ้นเรื่องสิ้นราวไปก็ไม่รู้ซีคุณ?
แหม! พวกเจ้าหนุ่มเจ้าแก่เห็นเข้าถึงกับตาลุกตาชัน จ้องมองเหมือนลูกกะตาจะถลนออกมานอกเบ้า พวกแม่สาวๆ ชาวกรุงน่ะหรือคะ? โอ๊ย! เจ้าหล่อนไม่อับอายอะไรหรอก...ไม่สนใจไยดีซะด้วยซ้ำ ดูเหมือนจะชอบอกชอบใจซะอีกที่มีพวกผู้ชายมาจ้องมองเหมือนจะจัดการแก้ผ้าแก้ผ่อนด้วยมือของนัยน์ตา...ว่าไปนั่นเลย! ฮิฮิ
ในที่สุดก็มาถึงเรื่องขนหัวลุกจนได้ เมื่อป้าเล่าเรื่องป่าช้าผีสดกับป่าช้าผีแห้งให้ฟัง
"ไอ้ต้นกระต่ายจามนี่มันเป็นยังไงคะ? คุณป้าขา" เพื่อนหลานป้าชื่อหนูแอร์ถามขึ้น ทำตากะแป๋วแหวว แอ๊บแบ๊วน่าตบ...เอ๊ย! น่าร้าก...ป้าก็ทำเป็นพูดช้าๆ เนิบๆ อธิบายในอาการของคนภูมิเยอะ พอให้เข้าใจว่า...
ชื่อเป็นทางการคือ "การบูรป่า" เป็นไม้ล้มลุกชนิดหนึ่ง ขึ้นตามป่าเบญจพรรณทั่วไป ต้นสูงประมาณ 30 เซนติเมตร ใบเดี่ยว ออกตรงข้ามกัน ขอบใบจักถี่ มีกลิ่นคล้ายกะเพราและโหระพา ดอกเล็กสีม่วงออกเป็นช่อเรียวยาวตามง่ามใบและยอด ชาวบ้านเรียก ข้าวคำ หรือ พริกกระต่าย, กระต่ายจาม
อีกชนิดหนึ่งชื่อกระต่ายจามตรงๆ ชอบขึ้นตามพื้นที่ลุ่มต่ำ แฉะ ต้นเตี้ยติดดินคล้ายต้นผักเบี้ย ใบเล็กเว้าเข้าทั้งสองด้าน ปลายใบแหลมคล้ายสามง่าม ใบมีกลิ่นเหม็น ใช้ทำยาได้ บ้างก็เรียกว่า กระต่ายจันทร์, สาบแร้ง, หญ้ากระจาม หรือหญ้าจาม สรุปว่า ทั้งคนทั้งกระต่ายไปดมเอาใบแห้งๆ เข้าก็จามฮัดเช้ย...หูตาสว่างไสวทั้งนั้นแหละ หนูจ๋า...
"คุณป้าเล่าว่าต้นกระต่ายจามชอบขึ้นในป่าช้าผีแห้ง ที่อื่นๆ ไม่มีมั่งหรือคะ? หนูไม่เคยเห็นในกรุงเทพฯ ซักครั้งเดียว" หนูแอร์ซักไซ้ขึ้นมา แม่แก้มหลานสาวป้าก็เสริมขึ้นว่าหนูก็ไม่เคยเห็นเหมือนกัน...ถ้าไปดูที่ป่าช้าจะเห็นมั้ยคะ?
ป้าตอบไปตามตรงว่าป้าไม่ได้มีธุระปะปังไปที่นั่นนานมาแล้ว อาจจะยังอยู่หรือไม่อยู่ก็ได้ อยากรู้ต้องไปดูเอาเอง...หนูแอร์ดีใจตบมือจนอกกระเพื่อม
"พรุ่งนี้บ่ายๆ ไปดูกันนะ แก้ม...คืนนี้นอนเถอะ ดึกล้าว..."
ป้าฟังแล้วถึงกับอ้าปากค้างเลยค่ะ...ไม่รู้ว่า "ดึกล้าว" กับ "ดึกแล้ว" ของหนูแบ...เอ๊ย! หนูแอร์นี่มันจะแปลความอย่างเดียวกันหรือเปล่า...ดัด...เอ๊ย! น่ารักจริงจริ๊งแม่คุณ! เฮ้อ...
วันรุ่งขึ้นตอนบ่ายพวกสาวๆ พากันไปทัศนาจรป่าช้า ส่วนป้าก็จัดการเข้าครัวทำกับข้าวพวกกุ้งและปลาให้เด็กๆ กิน แม่แก้มหลานป้าบอกว่าอยากกินฉู่ฉี่ปลาน้ำเงิน...บอกว่าอยากอวดฝีมือป้าว่าเจ๋งแค่ไหน! ดูมันช่างพูดให้คนแก่ชื่นอกชื่นใจ ยอมเหนื่อยเพราะบ้ายอนี่เอง
อ้าว? เวลาผ่านไปชั่วโมงกว่า พวกสาวๆ ก็วิ่งกระหืดกระหอบหน้าตาซีดเซียวกลับบ้าน บอกว่าโดนผีหลอกเข้าให้...ป้าไม่อยากเชื่อเลยถามว่าผีมันหลอกยังไงยะหล่อน?
แม่แก้มกับหนูแอร์เล่าว่า ที่ป่าช้าแห้งไม่มีกระต๊อบเก็บผีใส่โลงไว้เหมือนสมัยก่อนอีกแล้ว แต่มีพวกกอไผ่หลายกอ, ต้นไม้เล็กๆ อย่างสะแก, ข่อย และไม้พุ่มอย่างมะกล่ำตาหนู...มองหากระต่ายจามเท่าไหร่ก็ไม่พบ คิดว่าคงจะสูญพันธุ์ไปแล้ว
ขณะนั้นเมฆหนาทึบก็เคลื่อนเข้ามาบังแสงอาทิตย์ อากาศเย็นวูบ ลมแรงๆ พัดซ่าจนขนลุกซู่...กระต่ายอวบอ้วนสีขาวตัวหนึ่งกระโดดหยองๆ จากไหนไม่รู้มาที่โคนกอไผ่แล้วเอียงคอมองพวกสาวๆ อย่างสนใจ
คุณพระคุณเจ้า! ฉับพลันทันใดนั้น กระต่ายเจ้ากรรมก็ยกหัวขึ้นแล้วสะบัดหน้าทำท่าจามแฟ้ดออกมาเสียงดัง...ฮัดเช้ย!!
หนูแบ...เอ๊ย! หนูแอร์ร้องวี้ดสุดเสียง กระโดดกอดหนูแก้ม เพราะเสียงกระต่ายจามนั่นมันคือเสียงคนชัดๆ พร้อมกับเสียงกอไผ่โดนลมเบียดเสียดกันดังออดแอด พอมองเข้าไปก็ตัวแข็งทื่อไปตามๆ กันเมื่อเห็นร่างผู้ชายดำมะเมื่อมยืนตาแดงจ้าอยู่กลางกอไผ่นั่นเอง
หนูแอร์ขอตัวกลับกรุงเทพฯ เย็นนั้นเอง บอกว่าทนอยู่ไม่ไหว...ภาพของผีตนนั้นมันติดหูติดตาเหลือเกิน! เล่นเอาป้าพลอยขนหัวลุกไปอีกคนค่ะ!
ขอบคุณเรื่องเล่าจากข่าวสด
เครดิต :
ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!