เสียงสะอื้นในราตรี
"บุญมาก" เล่าเรื่องสยองขวัญจากวัดป่าหนองหิน มหาสารคาม
ผมกับภรรยาไปเที่ยวมหาสารคาม ฉายา "ตักสิลา" หรือเมืองแห่งการศึกษาในสรรพวิชาการหลากหลาย ญาติสนิทได้พาไปเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ โดยออกเนื้อออกตัวว่า เมืองนี้ค่อนข้างเล็กกว่าขอนแก่น อุดรฯ เป็นไหนๆ
แม้กระนั้นก็ยังได้ไปเที่ยวชมหมู่บ้านทอผ้า มีเสื้อผ้าชนิดต่างๆ ล้วนสวยงามและราคาย่อมเยา รวมทั้งร้านโอท็อปหน้าเรือนจำที่มีสินค้ามากมายแทบไม่น่าเชื่อ ล้วนแต่น่าซื้อหาเป็นของใช้และของฝากทั้งนั้น
แต่ประเด็นที่จะเล่าสู่กันฟังก็คือเรื่องขนหัวลุก!
เรื่องนี้ได้รับความกรุณาจากคุณหอมหวล โชเฟอร์สาวน้อยฝีมือดีของรถปิกอัพ ที่เต็มอกเต็มใจพาเราตระเวนไปหลายต่อหลายแห่ง ข้อสำคัญคือเล่าประสบการณ์น่าหวาดเสียวที่เธอได้ประสบมากับตัวเองสดๆ ร้อนๆ
สถานที่ก็คือวัดป่าหนองหิน ตำบลโคกก่อ อำเภอเมือง ที่เคยเล่าไว้ในตอนที่แล้ว เรื่อง "เพื่อนของสมภาร" นั่นแหละครับ
หลวงพ่อชัชวาลย์ จตุตมโล หรือ "หลวงพ่อ" ของชาวบ้านในละแวกนั้นนั่นเอง ที่ท่านบอกว่าถึงแม้จะอยู่วัดป่ารูปเดียว...วัดกลางป่าช้าเก่าก็ว่าได้ แถมยังมีหลุมศพที่ยังไม่ได้ขุดขึ้นมาเผาอีกมากมาย แต่ท่านก็ไม่หงอยเหงาเปล่าเปลี่ยวอะไร เพราะตอนดึกๆ จะมีเด็กเล็กๆ มาวิ่งเล่นเกรียวกราวที่ศาลาเป็นประจำ
คุณหอมหวลได้ไปปฏิบัติธรรม หรือนิยมเรียกกันว่า "บวชชีพราหมณ์" ที่วัดนี้กับแม่ชีเป็นเวลา 15 วัน ต้องกินอยู่หลับนอนกลางป่าช้าเก่าเช่นกัน!
อันว่าป่าช้าเก่าที่ชาวบ้านนำศพญาติๆ มาฝังไว้นั้น ล้วนแต่มิได้ตายด้วยโรคภัยไข้เจ็บตามธรรมชาติ แต่ตายเพราะโดนรถชนบ้าง ตกต้นไม้บ้าง จมน้ำตายบ้าง...จนถึงถูกฆ่าตายและฆ่าตัวตาย
อย่างที่รู้ๆ กันน่ะแหละครับว่าเป็น "ผีตายโหง" ซึ่งไม่นิยมเผาในทันทีทันใด แต่ต้องเก็บหรือฝังไว้ก่อน สามเดือนบ้าง หนึ่งปีบ้าง หรือไม่ก็จนกว่าญาติๆ จะมีทุนทรัพย์เพียงพอที่จะกระทำพิธีฌาปนกิจตามประเพณี
ได้ข่าวว่ามีศพเด็กๆ ที่ตกต้นไม้ตายบ้าง ตกน้ำตายบ้าง แม้แต่ตกบันไดลงมาคอหักตายก็มี!
ธรรมเนียมของหลุมฝังศพที่นั่นค่อนข้างแปลกกว่าที่อื่น ตรงที่ไม่มีการเขียนชื่อปักป้ายไว้ที่หลุมฝังศพ โดยญาติของผู้ตายจะจดจำได้แม่นยำว่าญาติของตนจะถูกฝังเอาไว้ตรงไหน
นึกถึงป่าโปร่งที่ดูโล่งกว้าง ร่มรื่น น่าเดินทอดน่องชมนกชมไม้...ถ้าไม่รู้มาก่อนว่ากำลังเดินไปบนหลุมศพที่นอนสงบนิ่งอยู่เบื้องล่าง! แต่ถ้ารู้แล้วก็เชื่อว่าคงจะไม่มีใครกล้ามาเดินชมวิวเล่นอย่างแน่นอน
คุณหอมหวลเล่าว่ามีความศรัทธาปสาทะหลวงพ่อชัชวาลย์เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว...โดยเฉพาะคติเตือนใจที่ไม่มากมายฟุ่มเฟือยเหมือนวัดอื่นๆ
"ถ้ารักจงรักพร้อมกัน แต่ถ้าเกลียด จงอย่าเกลียดพร้อมกันเลย"
"ที่พึ่งอันเกษมคือตนเอง พึ่งตนเองแล้วไม่ต้องง้อใคร ไม่ต้องมีสุข ทุกข์ เนื่องด้วยการโปรดปรานหรือไม่โปรดปรานของใคร"
พูดถึงบรรยากาศ วัดป่าที่มีพระภิกษุจำวัดอยู่เพียงรูปเดียว ยามราตรีย่อมมีแต่ความสงัดวิเวกชวนให้เยือกเย็นใจ เสียงลมพัดลู่ไปตามยอดไม้ราวกับเสียงพึมพำของใคร หรือไม่ก็เป็นเสียงทอดถอนใจด้วยความเหน็ดเหนื่อยอย่างเหลือประมาณ
คืนแรกที่นอนกุฏิเดียวกับแม่ชี คุณหอมหวลก็เจอดี!
นั่นคือเสียงหัวเราะคิกคักของเด็กๆ กลุ่มหนึ่งทั้งหญิงชาย เสียงพูดคุยและเสียงวิ่งตึ้กๆ ดังมาจากศาลาอันเงียบเชียบ...ครั้งแรกก็ใจคอไม่ค่อยดี แต่เมื่อนึกถึงคำพูดของหลวงพ่อว่า เป็นเพื่อนๆ ยามดึก ไม่มีอะไรน่าหวาดกลัว ก็พอจะสงบจิตใจลงได้
ทันใดนั้น...ขณะที่กำลังจะเคลิ้มหลับ เสียงเด็กเล็กๆ ก็ร้องไห้สะอึกสะอื้นเบาๆ ดังแว่วเข้ามาทางหน้าต่างอันเปิดโล่ง...ขณะที่ลืม ตาโพลง ขนลุกซ่าอยู่นั้นก็มีเสียงผู้หญิงที่คงจะเป็นแม่ดังปลอบ โยนขึ้นว่า...นอนเสียลูก ไม่ต้องกลัวหรอกลูกเอ๋ย...เสียงเด็กน้อยก็พูดปนสะอื้นว่า...หนูกลัว! แม่จ๋า...
สตรีผู้เข้าไปปฏิธรรมในวัดป่าหนองหินถึงกับนอนเหงื่อหยดเผาะๆ จนกระทั่งเสียงสยองเหล่านั้นค่อยๆ จางหาย...แล้วเธอก็หลับผล็อยไป
คุณหอมหวลเล่าว่าได้แผ่เมตตาให้ทุกวัน ในที่สุดเสียงร้องไห้ของเด็กกับเสียงปลอบโยนของแม่ก็เงียบหายไป...และเธอก็ได้ปฏิบัติธรรมอยู่ในวัดครบ 15 วันสมกับความตั้งใจ
ขอบคุณเรื่องเล่าจากข่าวสด
ผมกับภรรยาไปเที่ยวมหาสารคาม ฉายา "ตักสิลา" หรือเมืองแห่งการศึกษาในสรรพวิชาการหลากหลาย ญาติสนิทได้พาไปเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ โดยออกเนื้อออกตัวว่า เมืองนี้ค่อนข้างเล็กกว่าขอนแก่น อุดรฯ เป็นไหนๆ
แม้กระนั้นก็ยังได้ไปเที่ยวชมหมู่บ้านทอผ้า มีเสื้อผ้าชนิดต่างๆ ล้วนสวยงามและราคาย่อมเยา รวมทั้งร้านโอท็อปหน้าเรือนจำที่มีสินค้ามากมายแทบไม่น่าเชื่อ ล้วนแต่น่าซื้อหาเป็นของใช้และของฝากทั้งนั้น
แต่ประเด็นที่จะเล่าสู่กันฟังก็คือเรื่องขนหัวลุก!
เรื่องนี้ได้รับความกรุณาจากคุณหอมหวล โชเฟอร์สาวน้อยฝีมือดีของรถปิกอัพ ที่เต็มอกเต็มใจพาเราตระเวนไปหลายต่อหลายแห่ง ข้อสำคัญคือเล่าประสบการณ์น่าหวาดเสียวที่เธอได้ประสบมากับตัวเองสดๆ ร้อนๆ
สถานที่ก็คือวัดป่าหนองหิน ตำบลโคกก่อ อำเภอเมือง ที่เคยเล่าไว้ในตอนที่แล้ว เรื่อง "เพื่อนของสมภาร" นั่นแหละครับ
หลวงพ่อชัชวาลย์ จตุตมโล หรือ "หลวงพ่อ" ของชาวบ้านในละแวกนั้นนั่นเอง ที่ท่านบอกว่าถึงแม้จะอยู่วัดป่ารูปเดียว...วัดกลางป่าช้าเก่าก็ว่าได้ แถมยังมีหลุมศพที่ยังไม่ได้ขุดขึ้นมาเผาอีกมากมาย แต่ท่านก็ไม่หงอยเหงาเปล่าเปลี่ยวอะไร เพราะตอนดึกๆ จะมีเด็กเล็กๆ มาวิ่งเล่นเกรียวกราวที่ศาลาเป็นประจำ
คุณหอมหวลได้ไปปฏิบัติธรรม หรือนิยมเรียกกันว่า "บวชชีพราหมณ์" ที่วัดนี้กับแม่ชีเป็นเวลา 15 วัน ต้องกินอยู่หลับนอนกลางป่าช้าเก่าเช่นกัน!
อันว่าป่าช้าเก่าที่ชาวบ้านนำศพญาติๆ มาฝังไว้นั้น ล้วนแต่มิได้ตายด้วยโรคภัยไข้เจ็บตามธรรมชาติ แต่ตายเพราะโดนรถชนบ้าง ตกต้นไม้บ้าง จมน้ำตายบ้าง...จนถึงถูกฆ่าตายและฆ่าตัวตาย
อย่างที่รู้ๆ กันน่ะแหละครับว่าเป็น "ผีตายโหง" ซึ่งไม่นิยมเผาในทันทีทันใด แต่ต้องเก็บหรือฝังไว้ก่อน สามเดือนบ้าง หนึ่งปีบ้าง หรือไม่ก็จนกว่าญาติๆ จะมีทุนทรัพย์เพียงพอที่จะกระทำพิธีฌาปนกิจตามประเพณี
ได้ข่าวว่ามีศพเด็กๆ ที่ตกต้นไม้ตายบ้าง ตกน้ำตายบ้าง แม้แต่ตกบันไดลงมาคอหักตายก็มี!
ธรรมเนียมของหลุมฝังศพที่นั่นค่อนข้างแปลกกว่าที่อื่น ตรงที่ไม่มีการเขียนชื่อปักป้ายไว้ที่หลุมฝังศพ โดยญาติของผู้ตายจะจดจำได้แม่นยำว่าญาติของตนจะถูกฝังเอาไว้ตรงไหน
นึกถึงป่าโปร่งที่ดูโล่งกว้าง ร่มรื่น น่าเดินทอดน่องชมนกชมไม้...ถ้าไม่รู้มาก่อนว่ากำลังเดินไปบนหลุมศพที่นอนสงบนิ่งอยู่เบื้องล่าง! แต่ถ้ารู้แล้วก็เชื่อว่าคงจะไม่มีใครกล้ามาเดินชมวิวเล่นอย่างแน่นอน
คุณหอมหวลเล่าว่ามีความศรัทธาปสาทะหลวงพ่อชัชวาลย์เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว...โดยเฉพาะคติเตือนใจที่ไม่มากมายฟุ่มเฟือยเหมือนวัดอื่นๆ
"ถ้ารักจงรักพร้อมกัน แต่ถ้าเกลียด จงอย่าเกลียดพร้อมกันเลย"
"ที่พึ่งอันเกษมคือตนเอง พึ่งตนเองแล้วไม่ต้องง้อใคร ไม่ต้องมีสุข ทุกข์ เนื่องด้วยการโปรดปรานหรือไม่โปรดปรานของใคร"
พูดถึงบรรยากาศ วัดป่าที่มีพระภิกษุจำวัดอยู่เพียงรูปเดียว ยามราตรีย่อมมีแต่ความสงัดวิเวกชวนให้เยือกเย็นใจ เสียงลมพัดลู่ไปตามยอดไม้ราวกับเสียงพึมพำของใคร หรือไม่ก็เป็นเสียงทอดถอนใจด้วยความเหน็ดเหนื่อยอย่างเหลือประมาณ
คืนแรกที่นอนกุฏิเดียวกับแม่ชี คุณหอมหวลก็เจอดี!
นั่นคือเสียงหัวเราะคิกคักของเด็กๆ กลุ่มหนึ่งทั้งหญิงชาย เสียงพูดคุยและเสียงวิ่งตึ้กๆ ดังมาจากศาลาอันเงียบเชียบ...ครั้งแรกก็ใจคอไม่ค่อยดี แต่เมื่อนึกถึงคำพูดของหลวงพ่อว่า เป็นเพื่อนๆ ยามดึก ไม่มีอะไรน่าหวาดกลัว ก็พอจะสงบจิตใจลงได้
ทันใดนั้น...ขณะที่กำลังจะเคลิ้มหลับ เสียงเด็กเล็กๆ ก็ร้องไห้สะอึกสะอื้นเบาๆ ดังแว่วเข้ามาทางหน้าต่างอันเปิดโล่ง...ขณะที่ลืม ตาโพลง ขนลุกซ่าอยู่นั้นก็มีเสียงผู้หญิงที่คงจะเป็นแม่ดังปลอบ โยนขึ้นว่า...นอนเสียลูก ไม่ต้องกลัวหรอกลูกเอ๋ย...เสียงเด็กน้อยก็พูดปนสะอื้นว่า...หนูกลัว! แม่จ๋า...
สตรีผู้เข้าไปปฏิธรรมในวัดป่าหนองหินถึงกับนอนเหงื่อหยดเผาะๆ จนกระทั่งเสียงสยองเหล่านั้นค่อยๆ จางหาย...แล้วเธอก็หลับผล็อยไป
คุณหอมหวลเล่าว่าได้แผ่เมตตาให้ทุกวัน ในที่สุดเสียงร้องไห้ของเด็กกับเสียงปลอบโยนของแม่ก็เงียบหายไป...และเธอก็ได้ปฏิบัติธรรมอยู่ในวัดครบ 15 วันสมกับความตั้งใจ
ขอบคุณเรื่องเล่าจากข่าวสด
เครดิต :
ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!