ราตรีสยอง


ราตรีสยอง

"พิทักษ์" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากสีคิ้ว

สมัยหนุ่มผมใช้ชีวิตค่อนข้างโลดโผนนิดหน่อย คือไม่ถึงกับไปเที่ยววิวาทบาดถลุงหรือตีรันฟันแทงกับใครหรอกครับ แต่เป็นประเภทชอบเที่ยวชอบดื่ม สนุกสนานเฮฮากับเพื่อนฝูงไม่ว่าใกล้ๆ อย่างกรุงเทพฯ หรือไกลไปถึงต่างจังหวัดโน่น

จนกระทั่งถึงเวลามีครอบครัว มีลูกสาวเล็กๆ กำลังน่ารัก ความรับผิดชอบทำให้เที่ยวเตร่น้อยลง คนเรามีพันธะมีภาระต้องดูแลจะปล่อยตัวตามสบายเหมือนตอนเป็นโสดไม่ได้หรอกครับ ยิ่งภรรยาไม่จู้จี้ขี้บ่นผมยิ่งเกรงใจ นานๆ ถึงจะไปสังสรรค์กับเพื่อนฝูงซักที

วันดีคืนร้ายก็เจอะเจอกับเรื่องน่าขนหัวลุกขนพองเข้าเต็มเปา!

สมพงษ์เพื่อนรุ่นน้องในที่ทำงานไปตกหลุมรักสาวชัยภูมิที่รู้จักกันในกรุงเทพฯ หมั่นไปมาหาสู่บ่อยๆ จนตกลงปลงใจไปสู่ขอลูกสาวเจ้าพ่อพญาแลมาเป็นคู่ชีวิต จัดพิธีแต่งงานที่ศาลากลาง เชื้อเชิญเพื่อนฝูงและผู้หลักผู้ใหญ่ไปเป็นเกียรติคับคั่ง ผมเองก็ขับรถพาลูกเมียไปร่วมงานด้วยเช่นกัน

ฤกษ์แต่งงานตรงกับวันอาทิตย์พอดี เราไปถึงจุดหมายตอนบ่ายๆ เข้าพักที่บ้านแฟนสมพงษ์แถวๆ ห้าแยกบ้านเขว้า อาบน้ำอาบท่าแต่งตัวแล้วขับรถไปงาน เจอะเจอกับพรรคพวกหลายคน ที่บ้างก็ขอลางานวันจันทร์และบ้างก็เสร็จงานแล้วจะขับรถกลับกรุงเทพฯ เลย

ผมอยู่ในกลุ่มหลังครับ เพราะครอบครัวเราทำงานกันทั้งสองคน ไหนลูกชายต้องไปโรงเรียนอีกล่ะ ระยะทางชัยภูมิ-กรุงเทพฯ แค่สองร้อยกว่ากิโลเมตร ถือว่าไม่ไกลเท่าไหร่

พิธีแต่งงานดำเนินไปอย่างสนุกสนาน มีเสียงเพลงขับกล่อมกับเสียงยั่วเย้าครึกครื้นไม่ขาดระยะ บ่าวสาวเดินทักทายแขกเหรื่อโต๊ะนั้นโต๊ะนี้ ถ่ายรูปกันพึ่บพั่บตามฟอร์ม

สี่ทุ่มเศษแขกบางตาลง พวกเราก็ได้เวลาเดินทางกลับเสียที...

เพื่อนร่วมบริษัทที่จะกลับพร้อมกันมีหลายคน รถยนต์ 3 คัน มีเพื่อนฝูงอาศัยนั่งกลับ 2-3 คนโดยไม่ต้องรบกวนรอผม ที่มีเมียกับลูกชายจองที่นั่งด้านหลัง ลูกก็กะอาศัยตักแม่หนุนนอนจนกว่าจะถึงบ้าน

ต้องยอมรับว่าพวกเราพากันมึนๆ ได้การ แต่ไม่ได้วิตกทุกข์ร้อนอะไรเพราะยังไม่มีการเข้มงวดเรื่อง "เมาไม่ขับ" เหมือนสมัยนี้ แต่ละคนก็ไม่เคยเสียประวัติเรื่องเมาแล้วขับรถจนเกิดอุบัติเหตุมาก่อน

ผมนำหน้าออกจากชัยภูมิเกือบห้าทุ่ม กะว่าไม่เกินตีสองก็คงถึงบ้านแถวดอนเมืองแล้ว...เสียงลูกชายพูดคุยจ๋อยๆ เหมือนจะเป็นเพื่อนไปตลอดทาง...

อ้าว? เลยจัตุรัสมาหน่อยกลับเงียบเสียงไปแล้ว มองดูกระจกหลังก็เห็นแสงไฟรถเพื่อนตามมาติดๆ ในความเร็วราวร้อยกิโลต่อชั่วโมง ซึ่งถือว่าไม่ช้าและไม่เร็วจนเกินไปนัก...ขับเพลินๆ ท่ามกลางความเงียบเชียบของราตรี จ้องมองแสงไฟเป็นลำยาวพุ่งฝ่าความมืดสลัว เห็นต้นไม้หนาทึบสองฝั่งถนนโน้มตัวเข้าหากัน ดูเผินๆ เหมือนปากถ้ำลึกลับไม่มีผิด

ด่านขุนทดใกล้เข้ามา แสงสว่างน่าอบอุ่นอยู่ไม่ช้าไม่นาน เราก็พุ่งเข้าสู่สีคิ้วที่กลับมืดสลัวอีกครั้ง รถราแทบจะไม่มีสวนทางมาเลย

ไม่เป็นไร...อีกไม่ถึงชั่วโมงก็จะถึงทางเลี้ยวขวาเข้าถนนมิตรภาพแล้ว

ขณะนั้นเองที่ผมมองเห็นผู้หญิงในชุดดำโบกมือเรียกอยู่ริมทาง!

ชะลอรถเข้าไปเทียบ หญิงสาวผู้นั้นชะโงกหน้าเข้ามา พร้อมๆ กับที่ผมไขกระจกลง ได้ยินเสียงวู่หวิวดังขึ้นว่า...ขอไปลงสีคิ้วหน่อยจ้ะ! ผมหันไปมองภรรยาก็พบว่าหลับไปกับลูก เลยเอื้อมมือไปเปิดประตูให้...แต่เธอไม่ได้ยืนอยู่ที่นั่นแล้ว!

วิชิตที่ขับรถตามหลังมาพลอยจอดรถไปด้วย ห่างกันราวสิบเมตร....ผมสะบัดหัวมึนงง ถ้าจะว่าเมาก็น่าจะสร่างแล้วนี่นา ช่างเถอะ! ผมออกรถโลดลิ่วไปตามเดิม เหลือบมองกระจกหลังก็เห็นวิชิตขับตามมาเหมือนเดิม

สีคิ้วกำลังรอคอยอยู่เบื้องหน้า...ยอดไม้ไหวซ่าดังเข้ามาในรถ ผมหนาววูบที่ต้นคอก่อนจะเย็นวาบไปตามไขสันหลังเมื่อได้ยินเสียงแตรดังลั่น...รถวิชิตกำลังแล่นส่ายไปมาเหมือนงูเลื้อย เล่นเอาผมเหยียบเบรก ร้องเสียงดังอย่างลืมตัว...เฮ้ย! เป็นไรวะ? เกิดอะไรขึ้น?

คุณพระช่วย! เสียงเบรกแทบยางไหม้บาดหู รถวิชิตมาหยุดกึกอยู่ห่างจากท้ายรถผมไม่ถึงสองเมตร...เมื่อเปิดประตูออกไปดูก็เห็นวิชิตกับเพื่อนอีกสองคนนั่งตัวสั่น หน้าขาวซีด

ได้ความว่ามีผู้หญิงชุดดำมาโบกมือให้จอด ขอติดรถไปสีคิ้วด้วย...ครั้นมาถึงทางแยกก่อนจะพุ่งตรงไปถนนมิตรภาพ ผู้หญิง ชุดดำนั่นก็หายไปเฉยๆ จนเกิดเอะอะกันขึ้น วิชิตสติแตกเลยตะบึงรถเป็นพายุบุแคม จนหวิดจะเสยท้ายรถผมน่ะซี

คืนนั้นกว่าจะถึงบ้านก็ตีสาม เพราะขับไม่เกินแปดสิบมาตลอดทาง...กลัวว่าจะเจอะเจอผู้หญิงคนเดิมมายืนโบกรถอีกน่ะซีครับ บรื๋ออออ....



ขอบคุณเรื่องเล่าจากข่าวสด


เครดิต :

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์