ช้อยนางรำ
"สาวสองแคว" เล่าเรื่องขนหัวลุกจากวิหารหลวงพ่อเหลือดิฉันเป็นคนพิษณุโลก
เมืองของสมเด็จพระนเรศวรในอดีต และเมืองของสมเด็จพระพุทธชินราชในปัจจุบัน ซึ่งท่านผู้อ่านคงทราบโดยทั่วกันนะคะ ว่าเป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์และล้ำค่า เป็นของคู่บ้านคู่เมืองของเราตลอดมาเพียงใด
มีตำนานเล่าขานกันว่าพระพุทธรูปองค์นี้สร้างมาประมาณ 700 ปีแล้วในสมัยพระเจ้าลิไท โดยมีพระวิษณุกรรมแปลงองค์เป็นชีปะขาวมาช่วยหล่อองค์พระจนสำเร็จได้พระพุทธรูปที่รัชกาลที่ห้ายังทรงยอมรับว่า...งามที่สุดในประเทศไทย!
ตำนานอาจจะเป็นเรื่องจริงก็ได้นะคะ เพราะยังมีหมู่บ้านชีปะขาวในปัจจุบัน
ครั้งแรกประสงค์จะหล่อพระเพียง 3 องค์ คือ พระพุทธชินราช, พระพุทธชินศรี และพระศรีศาสดา แต่ยังมีทองเหลืออยู่ จึงหล่อได้พระพุทธรูปอีกองค์หนึ่งคือหลวงพ่อเหลือ ประดิษฐานอยู่ในวิหารเล็ก ใกล้ๆ กับวิหารหลวงพ่อพระพุทธชินราชนั่นเอง
ชาวบ้านนิยมเรียกกันง่ายๆ ว่า "หลวงพ่อใหญ่กับหลวงพ่อเล็ก"
พระพุทธรูปทั้งสองมีคนเคารพนับถือ หลั่งไหลเข้าไปกราบไหว้บูชาเนืองแน่น ไม่ว่าวันเสาร์อาทิตย์หรือวันธรรมดา ทั้งคนในจังหวัดกับนักท่องเที่ยวต่างๆ มีรถยนต์แล่นเข้าออกคับคั่ง แผงขายของฝากเรียงรายหลายสิบแผง ทำให้ในวัดคล้ายมีงานมหกรรมด้วยผู้คนคึกคัก รถเก๋งรถปิกอัพและรถทัวร์เข้าไปจอดกันแน่นแทบล้นลานวัดทุกวัน
เชื่อถือศรัทธากันว่า ใครเข้าไปกราบไหว้หลวงพ่อใหญ่ หลวงพ่อเหลือ บอกกล่าวทุกข์ร้อนกับท่าน อำนาจพระพุทธคุณของหลวงพ่อก็จะช่วยให้พ้นทุกข์ต่างๆ ไปได้
วันนี้จะเล่าเรื่องแปลกประหลาดน่าขนหัวลุกในวิหารหลวงพ่อเหลือค่ะ
พวกผู้ใหญ่ท่านเล่าว่า เมื่อเข้าไปในวิหารเล็กๆ นี้ ปิดประตูหน้าต่างให้มิดชิดแล้วตั้งจิตให้สงบ ปรบมือพร้อมๆ กับร้องว่า...มาละโหวย มาละวา...ร้องวนไปวนมาอยู่เช่นนี้สักครู่หนึ่ง ภาพมหัศจรรย์ก็จะปรากฏขึ้นต่อหน้าต่อตา!
นั่นคือ...ภาพของเงาหมู่คนจะเดินออกมาจากผนังวิหารด้านตะวันตก มีทั้งหญิงและชาย หนุ่มสาวเฒ่าแก่และเด็กๆ แต่งตัวแบบคนโบราณ บ้างกระเดียดกระจาด บ้างหอบกระบุง ตะกร้า บ้างก็กางร่มจูงเด็กเห็นจะจะตา...เดินเป็นแถวยาวเหยียดต่อเนื่องกันไม่มีวันจบสิ้น...เดินแทรกหายเข้าไปในผนังด้านตะวันออก
ตราบใดที่เรายังปรบมือพลางร้องว่า...มาละโหวย มาละวา! ก็จะเห็นภาพทั้งปวงอยู่ตราบนั้น!
...ภาพทุกคนในสมัยอดีตกาลพากันเดินอย่างสงบ เงียบ เชียบ เห็นเป็นรูปเงาชัดเจน ทั้งเสื้อผ้าและข้าวของที่หาบหามหรือกระเดียดติดตัวมา...เดินตามกันออกมาจากผนังฝั่งหนึ่งเป็นทิวแถว แล้วหายลับเข้าไปในผนังอีกฝั่งหนึ่ง...
คิดๆ ดูแล้วก็น่าขนหัวลุกนะคะ
พวกผู้ใหญ่ที่เคยประสบพบเห็นมากับตัวเองหลายคน บอกว่ามองเห็นก็ได้แต่ยืนตัวแข็ง จ้องมองแทบไม่กะพริบตา...ท่านเรียกปรากฏการณ์มหัศจรรย์และน่ากลัวนี้ว่า "ช้อยนางรำ"
สมัยก่อนใครเหงาๆ หรือเกิดเบื่อหน่ายอะไรขึ้นมา อยากเห็นภาพสยองขวัญน่าตื่นเต้น ก็เพียงแต่เข้าไปในวิหารเล็ก ปิดประตูหน้าต่างแล้วปรบมือ ส่งเสียงร้องดังกล่าวก็จะได้เห็นภาพนั้นสมปรารถนา
ต่อมามีการซ่อมวิหาร ฉาบกำแพง ทาสีใหม่ ภาพเหล่านั้นก็ไม่ปรากฏให้เห็นอีกเลย!
อาจจะเป็นเพราะมีผนังปูนฉาบหนาจนเหล่าวิญญาณดึกดำบรรพ์ไม่อาจจะผุดโผล่ออกมาได้ หรือจะเหม็นกลิ่นสีสมัยใหม่ก็ไม่มีใครทราบแน่ชัด
แต่ที่แน่ๆ คือความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อใหญ่และหลวงพ่อเหลือยังคงยืนยงอยู่เหมือนเดิม ถ้าใครว่างก็เชิญมากราบบูชาท่านที่วัดพระมหาธาตุเมืองสองแควได้ทุกเมื่อ...เผื่อใครโชคดีอาจจะได้เห็น "ช้อยนางรำ" เป็นบุญตาก็ได้นะคะ!
ขอบคุณเรื่องเล่าจากข่าวสด
เมืองของสมเด็จพระนเรศวรในอดีต และเมืองของสมเด็จพระพุทธชินราชในปัจจุบัน ซึ่งท่านผู้อ่านคงทราบโดยทั่วกันนะคะ ว่าเป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์และล้ำค่า เป็นของคู่บ้านคู่เมืองของเราตลอดมาเพียงใด
มีตำนานเล่าขานกันว่าพระพุทธรูปองค์นี้สร้างมาประมาณ 700 ปีแล้วในสมัยพระเจ้าลิไท โดยมีพระวิษณุกรรมแปลงองค์เป็นชีปะขาวมาช่วยหล่อองค์พระจนสำเร็จได้พระพุทธรูปที่รัชกาลที่ห้ายังทรงยอมรับว่า...งามที่สุดในประเทศไทย!
ตำนานอาจจะเป็นเรื่องจริงก็ได้นะคะ เพราะยังมีหมู่บ้านชีปะขาวในปัจจุบัน
ครั้งแรกประสงค์จะหล่อพระเพียง 3 องค์ คือ พระพุทธชินราช, พระพุทธชินศรี และพระศรีศาสดา แต่ยังมีทองเหลืออยู่ จึงหล่อได้พระพุทธรูปอีกองค์หนึ่งคือหลวงพ่อเหลือ ประดิษฐานอยู่ในวิหารเล็ก ใกล้ๆ กับวิหารหลวงพ่อพระพุทธชินราชนั่นเอง
ชาวบ้านนิยมเรียกกันง่ายๆ ว่า "หลวงพ่อใหญ่กับหลวงพ่อเล็ก"
พระพุทธรูปทั้งสองมีคนเคารพนับถือ หลั่งไหลเข้าไปกราบไหว้บูชาเนืองแน่น ไม่ว่าวันเสาร์อาทิตย์หรือวันธรรมดา ทั้งคนในจังหวัดกับนักท่องเที่ยวต่างๆ มีรถยนต์แล่นเข้าออกคับคั่ง แผงขายของฝากเรียงรายหลายสิบแผง ทำให้ในวัดคล้ายมีงานมหกรรมด้วยผู้คนคึกคัก รถเก๋งรถปิกอัพและรถทัวร์เข้าไปจอดกันแน่นแทบล้นลานวัดทุกวัน
เชื่อถือศรัทธากันว่า ใครเข้าไปกราบไหว้หลวงพ่อใหญ่ หลวงพ่อเหลือ บอกกล่าวทุกข์ร้อนกับท่าน อำนาจพระพุทธคุณของหลวงพ่อก็จะช่วยให้พ้นทุกข์ต่างๆ ไปได้
วันนี้จะเล่าเรื่องแปลกประหลาดน่าขนหัวลุกในวิหารหลวงพ่อเหลือค่ะ
พวกผู้ใหญ่ท่านเล่าว่า เมื่อเข้าไปในวิหารเล็กๆ นี้ ปิดประตูหน้าต่างให้มิดชิดแล้วตั้งจิตให้สงบ ปรบมือพร้อมๆ กับร้องว่า...มาละโหวย มาละวา...ร้องวนไปวนมาอยู่เช่นนี้สักครู่หนึ่ง ภาพมหัศจรรย์ก็จะปรากฏขึ้นต่อหน้าต่อตา!
นั่นคือ...ภาพของเงาหมู่คนจะเดินออกมาจากผนังวิหารด้านตะวันตก มีทั้งหญิงและชาย หนุ่มสาวเฒ่าแก่และเด็กๆ แต่งตัวแบบคนโบราณ บ้างกระเดียดกระจาด บ้างหอบกระบุง ตะกร้า บ้างก็กางร่มจูงเด็กเห็นจะจะตา...เดินเป็นแถวยาวเหยียดต่อเนื่องกันไม่มีวันจบสิ้น...เดินแทรกหายเข้าไปในผนังด้านตะวันออก
ตราบใดที่เรายังปรบมือพลางร้องว่า...มาละโหวย มาละวา! ก็จะเห็นภาพทั้งปวงอยู่ตราบนั้น!
...ภาพทุกคนในสมัยอดีตกาลพากันเดินอย่างสงบ เงียบ เชียบ เห็นเป็นรูปเงาชัดเจน ทั้งเสื้อผ้าและข้าวของที่หาบหามหรือกระเดียดติดตัวมา...เดินตามกันออกมาจากผนังฝั่งหนึ่งเป็นทิวแถว แล้วหายลับเข้าไปในผนังอีกฝั่งหนึ่ง...
คิดๆ ดูแล้วก็น่าขนหัวลุกนะคะ
พวกผู้ใหญ่ที่เคยประสบพบเห็นมากับตัวเองหลายคน บอกว่ามองเห็นก็ได้แต่ยืนตัวแข็ง จ้องมองแทบไม่กะพริบตา...ท่านเรียกปรากฏการณ์มหัศจรรย์และน่ากลัวนี้ว่า "ช้อยนางรำ"
สมัยก่อนใครเหงาๆ หรือเกิดเบื่อหน่ายอะไรขึ้นมา อยากเห็นภาพสยองขวัญน่าตื่นเต้น ก็เพียงแต่เข้าไปในวิหารเล็ก ปิดประตูหน้าต่างแล้วปรบมือ ส่งเสียงร้องดังกล่าวก็จะได้เห็นภาพนั้นสมปรารถนา
ต่อมามีการซ่อมวิหาร ฉาบกำแพง ทาสีใหม่ ภาพเหล่านั้นก็ไม่ปรากฏให้เห็นอีกเลย!
อาจจะเป็นเพราะมีผนังปูนฉาบหนาจนเหล่าวิญญาณดึกดำบรรพ์ไม่อาจจะผุดโผล่ออกมาได้ หรือจะเหม็นกลิ่นสีสมัยใหม่ก็ไม่มีใครทราบแน่ชัด
แต่ที่แน่ๆ คือความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อใหญ่และหลวงพ่อเหลือยังคงยืนยงอยู่เหมือนเดิม ถ้าใครว่างก็เชิญมากราบบูชาท่านที่วัดพระมหาธาตุเมืองสองแควได้ทุกเมื่อ...เผื่อใครโชคดีอาจจะได้เห็น "ช้อยนางรำ" เป็นบุญตาก็ได้นะคะ!
ขอบคุณเรื่องเล่าจากข่าวสด
เครดิต :
ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!