คืนขวัญหาย


คืนขวัญหาย

"ป้าศรี" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากชุมชนตลาดหลักสี่

ตั้งแต่เด็กจนถึงปูนนี้...ก็เกษียณฯ มาสองปีกว่า บอกตรงๆ ว่าถึงจะเป็นคนกลัวผีจับจิตจับใจ แต่ป้ายังไม่เคยโดนผีหลอกจังๆ ซักครั้งเดียว นอกจากจะได้ยินเสียงแปลกๆ ที่คิดว่าคงหูแว่วไปเองมากกว่า

อ้อ! เคยเห็นอะไรวับๆ แวมๆ เอ๊ย! วูบๆ วาบๆ แต่คงไม่ใช่ผีสางอะไรหรอกค่ะ คิดดูแล้วเชื่อว่าตาฝาด หรือประสาทหลอนไปเองเท่านั้นแหละ

จนกระทั่งเมื่อต้นเดือนเมษายนนี่ซีคะ ป้าโดนผีหลอกเข้าเต็มตา น่านำมาเล่าให้แฟนๆ ขนหัวลุกฟัง...เอ๊ย! อ่านกันเพลินๆ ค่ะ ใครที่ไม่เชื่อว่าผีมีจริงก็ลองอ่านดูนะคะ แล้วลองพิจารณาดูว่าป้าตาฝาดตามประสาคนแก่ หรือว่าภาพน่ากลัวที่เห็นเต็มสองลูกนัยน์ตานั่นน่ะเป็นผีหรือเป็นอะไรกันแน่?

สำนวนวัยรุ่นต้องบอกว่าอลังการงานสร้างเชียวแหละค่ะ!

ป้าอยู่ที่ชุมชนตลาดหลักสี่มาตั้งแต่สาวยันแก่ ไม่ต้องเล่าถึงความเจริญรุดหน้าอะไรให้เสียเวลาหรอกนะคะ แต่บอกอย่างว่าแถวนั่นผีดุทั้งในซอยและถนนใหญ่เลียบทางรถไฟเลยละคุณ

ไม่รู้ว่าเพราะใกล้วัดหลักสี่ที่เขาลือกันว่าดุสาหัสนัก หรือเพราะมีรถไฟชนคนตายทุกปีกันแน่ แต่บรรยากาศตอนกลางคืนค่อนข้างเปลี่ยว รถราน้อย แถมวิ่งกันเร็วเหมือนจะเหาะไปตามๆ กัน จนเกิดอุบัติเหตุแถวสี่แยกที่จะเลี้ยวไปทางแจ้งวัฒนะ โดยเฉพาะทางเลี้ยวขวาไปวัดพระศรีฯ เป็นประจำ

ทั้งบาดเจ็บสาหัสกับล้มตายน่าสยดสยองเต็มที...แค่ฟังเพื่อนบ้านที่เขาเห็นแล้วเอามาเล่าก็น่าหวาดเสียวแล้วละค่ะ!

จนกระทั่งถึงคืนขนหัวลุก...

ลูกชายป้าเกิดเจ็บป่วยด้วยโรคอาหารเป็นพิษตั้งแต่เช้ามืด เรียกว่าเป็นโรคตามฤดูกาลที่เขาว่ามีท้องร่วง เป็นบิด อะไรพวกนี้แหละ ยังดีที่ไม่อาการหนักถึงกับต้องไปหาหมอ ก็เลยต้องหยุดงานพักผ่อนอยู่กับบ้าน มีเอกสารสำคัญที่ต้องส่งไปรษษีย์ ก็ไหว้วานให้แม่ช่วยเอาไปหย่อนตู้ที่หน้าปากซอยให้หน่อย

ป้ารับปากแล้วก็หลงลืมตามประสาคนแก่ได้นั่นลืมนี่ อย่างที่เขาเรียกว่าได้หน้าลืมหลัง อะไรทำนองนี้ละ จนตกค่ำถึงนึกได้ แต่เจ้ากรรม...ฝนหลงฤดูดันผ่าเทโครมครามลงมาอีก ก็เลยทำใจว่าพรุ่งนี้จะรีบออกไปจัดการให้แต่เช้า

อ๋อ...ลูกชายน่ะยังนอนซม ต้องโทร.ไปลางานสองวันเรียบร้อยแล้วค่ะ

อารามเป็นห่วงธุระของลูก เมื่อฝนหาย ยังมีพรำๆ นิดหน่อย คิดอยู่ว่าถ้าพรุ่งนี้ตื่นสาย หรือเกิดทำนั่นทำนี่จนลืมธุระของลูกไปอีกก็จะมีปัญหาเปล่าๆ ป้าเลยตัดสินใจกางร่มไปปากซอยให้สิ้นเรื่องสิ้นราว

แหม! จากบ้านก็ไม่ใช่ว่าไกลอะไรนักหนา เดินเดี๋ยวเดียวก็ถึงแล้ว รุ่งเช้าเขามาไขตู้จะได้รับเอกสารสำคัญของลูกชายไปเสียเลย

เรียกว่าถึงคราวเคราะห์ละค่ะ อย่างที่เขาเรียกว่า "อยู่ผิดที่-ผิดเวลา" นั่นปะไร!

สำหรับป้าน่ะต้องบอกว่า "ผิดเวลา" เพราะตอนนั้นเกือบสามทุ่มแล้ว ในซอยก็ปลอดคน โผล่ออกไปก็เปล่าเปลี่ยว รถราแทบจะไม่มีผ่านไปมา เห็นต้นไม้ใหญ่ๆ ฝั่งตรงข้ามยืนทะมึน แว่วเสียงหวูดรถไฟกรีดแหลมมาแต่ไกล ฟังแล้วเยือกเย็นจับใจยังไงพิกล

ถึงตู้ไปรษณีย์ก็อดมองไปทางตู้โทรศัพท์ที่อยู่ถัดไปไม่ได้...ไม่มีใครหรอกค่ะ ก็ดินฟ้าอากาศแบบนี้ คนเดินผ่านยังไม่มีเลยซักคนเดียว!

จัดแจงหย่อนซองสีน้ำตาลใส่ตู้เรียบร้อย ถอนใจเฮือกที่ทำธุระให้ลูกจนเสร็จสิ้น คนเป็นพ่อแม่เขาก็ยังงี้แหละคุณ ต้องช่วยเหลือดูแลลูกเต้าจนกว่าจะตายจากกันไปข้างหนึ่ง

กำลังจะหันกลับเลี้ยวซ้ายเข้าซอยบ้านอยู่แล้วเชียว ไม่รู้ว่ามีอะไรดลใจให้หันไปทางตู้โทรศัพท์อีกครั้ง... คราวนี้ชะงักขากึก ไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง แต่ก็เห็นชัดๆ จากไฟถนนว่ามีผู้ชายกำลังยืนโทรศัพท์อยู่ในนั้น!

เอ๊ะ! เมื่อตะกี้เราตาฝาดที่ไม่เห็นใคร หรือว่ามาตาฝาดเอาตอนนี้กันแน่?

ขณะที่กำลังยืนงงๆ อยู่นั้น ร่างสูงใหญ่ดูดำทะมึนอยู่ในตู้โทรศัพท์ก็ค่อยๆ หันมามองอย่างเชื่องช้า โดยที่เนื้อตัวเขาไม่ได้ขยับเขยื้อนเลยค่ะ มันเหมือนกับเขาหันมาแต่ศีรษะอย่างเดียว จนเห็นนัยน์ตาแดงจ้าราวกับถ่านแดงๆ ที่กำลังคุอยู่ในเตาไฟ

บอกตรงๆ ว่าป้าไม่เป็นลมล้มฮวบได้ยังไงก็ยังงงๆ จำได้แต่ว่าหันหน้า เดินขาสั่นกลับบ้าน หัวใจเต้นโครมๆ คล้ายจะทะลักออกมานอกอก...สวดมนต์ไหว้พระอยู่นานกว่าจะข่มตาหลับลงได้...รุ่งเช้าต้องรีบใส่บาตรอุทิศส่วนกุศลให้เขาทันที กลัวว่าจะลืมไปน่ะซีคะ!



คืนขวัญหาย

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์