เมื่อดิฉันไปรับโครงกระดูกที่ภาคเหนือ มาใช้ประกอบการสอนกายวิภาคศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยในภาคตะวันออก หลังจากนั้นก็ทำบุญตึกใหม่พร้อมกับทำบุญให้อาจารย์ใหญ่ (ผู้บริจาคร่างกายให้เป็นวิทยา ทาน) โดยมีนักศึกษาที่ต้องเรียนวิชานี้มาร่วมพิธีด้วย
นิสิตส่วนใหญ่ที่มาร่วมพิธีนี้ทุกๆ รุ่นจะเตรียมถาดสังฆทาน พวงมาลัยสวยๆ มาร่วมงาน ดิฉันก็ถามว่าขออะไรจากอาจารย์ใหญ่? คำตอบส่วนมากคืออยากได้เกรด A และขอให้เรียนวิชานี้อย่างผ่านฉลุย
นักศึกษาแทบทุกคนย้ำว่ารักอาจารย์ใหญ่ทุกๆ ท่าน แต่ไม่มีความต้องการให้พวกท่านไปเยี่ยมที่หอ พักเลยค่ะ!
ดิฉันมีความตั้งใจอยากไปบวชชีพราหมณ์ ถือศีลกินเจ ในช่วงต้นๆ ก็ได้ทราบข้อมูลจากเพื่อนที่ทำงานถึงสำนักสงฆ์แห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่ในตัวเมือง จังหวัดชลบุรี อยู่บนเขา ห่างจากถนนใหญ่เอาการ ดิฉันจึงรีบทำงานที่ยังคั่งค้างให้เรียบร้อยก่อนเดินทาง
คืนวันอาทิตย์ประมาณสองทุ่ม ดิฉันกำลังนั่งพิมพ์เอกสารหน้าสุดท้าย เพื่อเตรียมตัวเข้านอนแต่หัวค่ำ และตรวจเช็กข้าวของต่างๆ ที่จะไปนอนค้างที่วัด
ปรากฏว่า ดิฉันไม่สามารถสั่งพิมพ์งานแผ่นสุดท้าย ออกมาไดค่ะ!
หัองพักดิฉันอยู่ชั้นห้า เยื้องกับห้องเรียนอาจารย์ใหญ่เล็กน้อย ซึ่งอยู่ชั้นหก! ทุกๆ ครั้งก่อนกลับไปบ้านพักดึกๆ ดิฉันมักมีความรู้สึกว่ามีสายตาหลายคู่จ้องมองอยู่ เวลามายืนรอลิฟต์ก็หันไปมองทุกครั้ง แม้ไม่เคยเห็นอะไร แต่ก็รับถึงความรู้สึกเช่นนี้มาตลอด
พอดีนึกถึงเครื่องพิมพ์งานที่อยู่ชั้นสอง ในสำนักงาน ของภาควิชา ซึ่งเป็นอีกที่หนึ่งซึ่งสามารถทำงานให้เสร็จเสียที ดิฉันจำได้แม่นว่า ทั้งตึกมีเพียงตัวเองคนเดียวเพราะเป็นวันอาทิตย์ ไม่มีใครมาทำงาน
เมื่อลงมาเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์และพรินเตอร์ที่อยู่ชั้นสอง บรรยากาศเงียบเชียบชวนให้วังเวงใจ อยู่ๆ ก็ต้องสะดุ้งเฮือก เมื่อได้ยินเสียงเหมือนคนกลุ่มหนึ่งกำลังพร่ำบ่นพึมพำ แต่จับใจความไม่ได้เลยว่าพวกเขากำลังพูดอะไรกัน
เสียงนั้นดังมาจากแถวหน้าลิฟต์ ดิฉันก็อยู่ในห้องทำงานซึ่งมีหน้าต่างทำด้วยบานเกล็ดใสยาวตลอดกำแพง จึงสามารถมองเห็นเกือบทุกอย่างว่ามีอะไรอยู่หน้าห้องบ้าง
ดิฉันเหลียวซ้ายแลขวา กลืนน้ำลาย...เสียงพึมพำคล้ายเสียงคุยกันเบาๆ ดังขึ้นอีกแล้ว...คราวนี้เคลื่อนจากหน้าลิฟต์ ราวกับล่องลอยมาหยุดที่หน้าต่าง เสียงพึมพำดังขึ้นทุกที ราวกับมีคนมากขึ้นเป็น 30-50 คน เล่นเอาดิฉันนั่งตัวแข็งทื่อ ใจเต็นแรง พยายามฟังว่าเสียงเหล่านั้นพูดอะไรกันแน่...
สูดลมหายใจยาว ลุกเดินไปที่หน้าต่าง แต่เสียงพึมพำก็ยังดังสม่ำเสมอตามเดิม...ตัดสินใจเปิดประตูให้รู้แน่ว่ามีใครอยู่ข้างนอก แต่ก็ไม่เจอใครเลย เสียงก็เงียบไปค่ะ
เสียงดังขนาดนี้จะไปแอบที่ไหนได้?
ดิฉันมาทำงานคนเดียวแท้ๆ ถ้าจะนึกคิดว่ามีนักศึกษาเดินคุยกันก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะตึกเรียนค่อนข้างห่างจากประตูใหญ่ หอพัก สนามกีฬา และโรงอาหาร ที่สำคัญคือตึกนี้มีไฟเปิดไว้สลัวๆ เท่านั้น ไม่สว่างจ้าเหมือนถนนหรืออาคารเรียนอื่น
อาจจะหูแว่วไปเองก็ได้ ดิฉันจึงหันมาสนใจกับงานเพียงแผ่นเดียวต่อ...คุณพระช่วย! เสียงพึมพำของใครหลายสิบคนก็ดังวู่หวิวเข้ามาอีกแล้ว...
เสี้ยววินาทีนั้นเอง ดิฉันคิดถึงอาจารย์ใหญ่ขึ้นมาทันที!
สาเหตุหนึ่ง อาจเป็นเพราะดิฉันมีความตั้งใจอย่างแน่วแน่ว่าการไปทำบุญครั้งนี้ นอกจากจะเผื่อแผ่ไปถึงเจ้ากรรมนายเวรของตัวเองและครอบครัวแล้ว ก็จะให้อาจารย์ใหญ่ผู้เป็นที่เคารพ ตลอดไปถึงผู้ที่เคยอาศัยอยู่ที่นี่มาก่อน...ก่อนที่อาคารแห่งนี้จะสร้างขึ้น
ดิฉันจึงพนมมือตั้งจิตอธิษฐานว่า พรุ่งนี้จะไปปฏิบัติ ธรรมเป็นเวลา 10 วัน
พูดเบาๆ ว่า...กำลังจะไปทำสิ่งดีๆ และไม่ลืมที่จะเผื่อแผ่กุศลที่ได้ให้แก่ทุกๆ ท่านอยู่แล้ว อย่าได้กังวลเลย ดิฉันไม่ลืมแน่นอน! แต่ตอนนี้ขอให้ทุกๆ ท่านที่อยู่ ณ ที่นี้ปล่อยให้ดิฉันทำงานให้สำเร็จลุล่วงก่อนนะคะ!
พูดจบเสียงพึมพำ เสียงบ่นพร่ำที่ดังอยู่ตลอดก็เงียบกริบลงในทันทีทันใด ได้ยินเสียงจิ้งหรีด แมลงกลางคืนพร่ำเพรียกเข้ามาแทนที่ ดิฉันจึงมานึกได้ว่าอาจารย์ใหญ่ รวมทั้งผู้ที่เรามองไม่เห็น ที่เคยอยู่ ณ ที่แห่งนี้มาก่อน คงอยากจะมาเตือนพวกเราว่า...อย่าลืมพวกเขานะ...
ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้เป็นเวลา 6-7 ปีแล้วค่ะ แต่ดิฉันยังไม่เคยลืมเลือนเลย ราวกับเหตุการณ์น่าขนหัวลุกเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อคืนนี้เอง!