ปีศาจทาสยา

" อร" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากซอยลอยมา

เมื่อสิบกว่าปีมาแล้ว ดิฉันเคยเป็นแคชเชียร์ในคาเฟ่ย่านสี่แยกสะพานควาย ซึ่งยุคนั้นถือว่าเป็นชุมทางสถานบันเทิงระดับกลางๆ ที่มีนักเที่ยวคลาคล่ำสารพัดรูปแบบและรสนิยมเลยค่ะ

มีโรงหนัง 5-6 โรง มากพอๆ กับโรงแรมม่านรูด ไหนจะบาร์ผีที่มีสาวเต้นอะโกโก้ ซึ่งถือว่าเป็นโชว์ยอดฮิตที่ขาดไม่ได้ ตั้งแต่เต้นธรรมดาจนถึงการโชว์วิตถารต่างๆ นานา...ก่อนจะถึงยุคของสาวโคโยตี้ในยุคต่อมาจนถึงทุกวันนี้

ดิฉันเช่าห้องอยู่ในซอยลอยมา ข้ามถนนใหญ่มาก็เลี้ยวเข้าซอยได้เลย เพราะยังไม่มีสะพานลอยเหมือนเดี๋ยวนี้ เพื่อนร่วมห้องชื่อแก้ว-คนบ้านหมี่เหมือนกัน แถมทำงานแบบเดียวกันอีกด้วย เพียงแต่อยู่คนละคาเฟ่ที่อยู่ใกล้ๆ กันเท่านั้น

ซอยนั้นจะเรียกว่าเป็นชุมทางห้องแบ่งเช่าก็เห็นจะไม่ผิดนัก!

ปากซอยมีร้านขายหอยทอดสวัสดี เข้าไปหน่อยก็มีร้านซักรีดเสื้อผ้า ร้านเสริมสวยที่อยู่ตรงข้ามห้องเช่าของเราพอดี ถัดเข้าไปยังมีบ้านแบ่งห้องเช่าอีกไม่ต่ำกว่าสิบแห่ง ของเราถือว่าใกล้ที่สุด สะดวกและปลอดภัยพอสมควร เพราะมีประตูใหญ่ที่ล็อกด้านใน 24 ชั่วโมง คนเช่าถึงจะมีกุญแจไขเข้าไปได้ค่ะ

ถ้ามีเพื่อนหรือแฟนมาหาก็ต้องกดกริ่ง บอกชื่อเสียงว่าจะพบใครแล้วเขาถึงจะเปิดประตูรับ...เดินเข้าไปก็จะพบห้องของพนักงานด้านหน้าที่มักง่วนอยู่กับการรับโทรศัพท์แทบตลอดทั้งวัน

สมัยนั้นที่ห้องเช่าดิฉันยังไม่มีโทรศัพท์หรอกค่ะ ไม่ใช่มือถือเกลื่อนเมืองอย่างปัจจุบัน ถ้ามีใครโทร.มาหา ผู้ช่วยพนักงานก็จะวิ่งมาเคาะประตูห้องเรียก...ค่าตามไปรับโทรศัพท์คือ 5 บาท ใครขี้เหนียวและรู้ว่าจะมีแฟนโทร.มาหาก็จะไปยืนเกร่แถวหน้าห้องนั้นเลย

คนเช่าส่วนมากไม่ทำงานคาเฟ่ก็โรงแรม ใช้ชีวิตกลางคืนกันแทบทั้งนั้น นอนตื่นเที่ยงหรือบ่าย อาบน้ำล้างหน้าในห้องรวมแล้วก็แต่งตัวง่ายๆ หลายคนก็เล่นชุดนอนไปแวะส่งเสื้อผ้าให้ร้านซักรีด หาอะไรกินที่ปากซอย หรือแผงข้าวเหนียว ไก่ย่าง ส้มตำ แล้วก็มาแวะร้านทำผมก่อนเข้าห้อง เปิดเทปฟังเพลงบ้าง ซ้อมเพลงบ้างสำหรับพวกนักร้อง

พักผ่อนได้ไม่นานก็ถึงเวลาเย็น ต้องอาบน้ำแต่งตัวไปทำงานกันแล้ว!

ห้องเช่าของเรามีข้อเสียนิดหน่อยตรงที่ผ่านหลังตึกแถวตอนกลางคืนมาถึงประตูรั้วค่อนข้างมืดและเปลี่ยว แต่พวกเราอยู่กันมาหลายเดือนจนไม่ค่อยหวาดกลัวอะไรนัก

บางคืนกลับมาสองคนเห็นเงาใครตะคุ่มๆ นั่งบ้างยืนบ้างอยู่ข้างรั้วก็นึกหวาดๆ อยู่เหมือนกัน เพราะปาเข้าไปตีสามกว่าๆ แล้วนี่คะ ต้องรีบเดินพร้อมกับเตรียมลูกกุญแจมาไขไว้ก่อน...สังเกตว่าคนที่ซุกตัวอยู่มืดๆ เงียบๆ หันมามองจนน่าเสียวสันหลังเอาการ

พวกทาสยาเสพติดน่ะแหละค่ะ นึกแล้วก็น่าสงสารเหมือนกัน...พวกเขาคะนองตามเพื่อน อยากโชว์หรืออวดศักดิ์ศรีว่าตัวเองเก่ง เสพยาก็ไม่ติด! จะเลิกเมื่อไหร่ก็ได้! เฮ้อ...

คืนหนึ่ง เราก็พบกับเรื่องน่าตื่นเต้นเข้าจังๆ

แก้วเดินหน้าก้าวยาวๆ ไปที่ประตู ดิฉันมัวแต่หันไปมองร่างผ่ายผอมในชุดสีทึบ กลิ่นเหงื่อไคลสาบๆ กระทบจมูกจนเกือบจะเบือนหน้าหนี พอดีเขายื่นมือสั่นเทามาดักหน้า พึมพำแหบเครือว่า...พี่ ขอตังค์ผมกินข้าวหน่อยเถอะครับ ผมหิว...

ดิฉันใจอ่อนยวบ โถ...เด็กหนุ่มอายุราวยี่สิบแท้ๆ ต้องตกอยู่ในสภาพครึ่งผีครึ่งคน เพราะเฮโรอีนแท้ๆ เลยควักแบงก์ใบละ 20 บาทส่งให้ เขายกมือไหว้ท่วมหัว ขอบคุณ เสียงปนสะอื้น รีบก้าวยาวๆ ไปทางก้นซอย... เขาคงรีบร้อนไปหาซื้อยาเสพติดฉีดเข้าเส้นที่นั่น

ตอนนั้นยังไม่มียาบ้าค่ะ...ถ้าไม่มีเงินจริงๆ เขาอาจจะก่ออาชญากรรมอะไรก็ได้ หรือแม้แต่ลงแดงตายตามที่เคยได้ยินข่าวบ่อยครั้ง

"ทีหลังอย่าไปให้มัน" แก้วพูดเสียงดุ "ไอ้พวกนี้เคยตัว เดี๋ยวก็มาไถเงินอีก"

ปรากฏว่าจริงอย่างที่แก้วพูดเลยค่ะ คืนรุ่งขึ้นก็เห็นเขามายืนรอเรา ยื่นมือสั่นริกมาหา พูดคำเดิมๆ ว่าขอเงินไปกินข้าว ดิฉันสองจิตสองใจ หันมองเพื่อนก็เห็นเธอจ้องเขม็งเลยตัดสินใจส่ายหน้า รีบเดินตามแก้วเข้าประตูแล้วรีบปิดทันที

แก้วเล่าว่า พอดิฉันผละมา เขาก็หันไปหาเพื่อนพูดอะไรพึมพำ ยกสองมือขึ้นปิดหน้า ทำท่าเหมือนกำลังสะอื้นด้วยความผิดหวัง เจ็บปวดสุดขีด...คืนนั้นดิฉันนอนลืมตาโพลงหลับตาก็เห็นแต่ภาพน่าเวทนานั้น บีบคั้นความรู้สึกให้สลดหดหู่อย่างบอกไม่ถูก

คืนต่อมา ดิฉันเห็นเขานั่งพิงรั้ว ท่าทางทอดอาลัยตายอยาก นึกจะควักเงินให้สัก 20 บาท ก็พอดีเขายกมือทั้งสองขึ้นปิดหน้า สะอื้นเบาๆ อยู่ในความสลัวและเยือกเย็น เล่นเอาดิฉันชะงัก หยิบเงินออกมาถือค้าง...ขณะที่ภาพนั้นค่อยๆ เลือนรางจางหายไปต่อหน้าต่อตา

เสียงหมาจรจัดหอนโหยหวนมาจากก้นซอย ดิฉันออกวิ่งตามหลังแก้วที่ยืนหน้าซีดเซียว พึมพำว่า...ถ้าเมื่อคืนเธอให้เงินมันไปเสพยาก็คงยังไม่ตาย...ขนหัวลุกค่ะ!



ปีศาจทาสยา

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์