สมัยเด็กผมอยู่กับพ่อแม่ที่ซอยกล้วยน้ำไท พ่อเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยใกล้ๆ บ้าน แม่เคยเป็นครูมาก่อน แต่เมื่อมีน้องติดๆ กันอีก 3 คนก็ลาออกมาเป็นแม่บ้านอย่างเดียว
พ่อค่อนข้างหัวเก่า เคร่งครัดและประพฤติตัวดีทุกอย่าง ไม่แตะต้องอบายมุขใดๆ เลย แต่ก็ไม่ซีเรียสเกินไป มีโอกาสก็พาไปเที่ยวตลาดนัดบ้าง ดูหนังบ้าง กินอาหารตามร้านดีๆ บ้าง รวมทั้งบอกให้พวกเราซื้อของเล่นได้ตามใจชอบเท่าที่พ่อตั้งงบให้
ระหว่างกินข้าวรวมกัน พ่อจะมีเรื่องสอนลูกเสมอๆ
โดยเฉพาะเรื่องกตัญญูรู้คุณคน อดทนและมีมานะพากเพียร จนถึงเรื่องอาหารการกินว่าอย่าไปเห่อฝรั่ง ของเรามีผักน้ำพริก แกงส้ม ต้มยำ สารพัดและผลไม้ไทยๆ ที่มีคุณค่าทางโภชนาการครบถ้วน ดีกว่าพวก ไก่ทอดหรือมันทอดเป็นไหนๆ
ผมได้รับคำสอนจากพ่อว่า เติบโตขึ้นไม่ว่าจะทำอาชีพอะไรก็อย่าฉวยโอกาส อย่าเห็นแก่เงินเป็นที่ตั้ง พ่อย้ำบ่อยๆ ว่า...ซื่อกินไม่หมด คดกินไม่พอ!
พ่อสอนว่าทำอะไรต้องซื่อสัตย์ อย่าเห็นแก่ได้ ค้าขายก็อย่าเอาเปรียบลูกค้า ถูกจับได้จะแก้ตัวยังไงก็ฟังไม่ขึ้น ไหนจะขายหน้าเขาด้วย เช่น บอกว่าสินค้าชนิดนี้ลดราคา แต่เมื่อเข็นตะกร้ามาจ่ายเงิน แคชเชียร์กลับคิดราคาเต็มที่ยังไม่ได้ลด พ่อเป็นคน ละเอียดจึงไปต่อว่าจนได้เงินคืน
"ถึงเราจะซื่อสัตย์ แต่ก็อย่าโง่เขลาจนปล่อยให้คนอื่นมาคดโกงเอาได้"
น้าสมชายบ้านใกล้ๆ เราอายุรุ่นเดียวกับพ่อ ทำงานบริษัท นิสัยชอบดื่มเหล้า แต่ไม่เอะอะหรือก่อความรำคาญ อะไร มีภรรยาและลูกสาวน่ารัก พ่อยังเคยชวนว่าเลิกเหล้าเสียเถิด ไม่เสียทั้งเงินและสุขภาพ เขาก็หัวเราะบอกว่าผมยอมแพ้มัน...ลงทุนไปเยอะต้องถอนทุนคืน!
ต่อมาน้าสมชายเกิดมีปากเสียงกับครอบครัวดังลั่นไปหลายบ้าน วันรุ่งขึ้นภรรยาออกมาซื้อกับข้าวได้พบกับแม่ผม เธอปรับทุกข์ว่าสามีเกิดปัญหาเรื่องงานกับผอ. เลยเมามายมาระบายอารมณ์ใส่ลูกเมีย
อาทิตย์หนึ่ง ภรรยาน้าสมชายชื่อเกศขับรถออกจากบ้านไปตอนสายๆ ทุกคนพอจะเดาได้ว่าคงไปซื้อของกินของใช้ ที่แน่ๆ คือซื้อเหล้าให้สามีด้วย
เกิดอุบัติเหตุตอนขากลับ กำลังจะไปรอยูเทิร์นห่างสะพานพระโขนงไกลแล้ว เกิดมีรถปิกอัพพุ่งชนท้ายรถไฟไหม้ท่วม น้าเกศกับลูกสาวถูกไฟคลอกตายในรถทั้งสองแม่ลูก
เพื่อนบ้านไปช่วยงานศพกันหลายคน น้าสมชายดื่มเหล้าเหมือนดื่มน้ำ ถ้าไม่ได้ญาติมิตรคงจัดพิธีศพไม่สำเร็จ แกน้ำตาไหล นัยน์ตาแดงก่ำ...ไม่ช้าก็ตกงาน
"ความสุขกับความทุกข์ของคนเรา เกิดขึ้นจากการกระทำของตัวเองทั้งนั้น!"
พ่อพูดกับแม่อย่างปลงๆ แต่อีกไม่กี่วันต่อมาน้าสมชายก็สติแตก!
ผมไม่อยากคิดว่าเป็นเรื่องผีๆ สางๆ หรอกครับ แต่ตอนกลางคืนได้ยินเสียงน้าสมชายหัวเราะบ้าง ร้องไห้บ้าง จนกว่าจะหมดสติ พ่อเคยไปเยี่ยม บอกว่ามีปัญหาอะไรก็ยินดีช่วย แต่เขากลับบอกว่าเมียเก่ง ได้มรดกกับเก็บเงินสะสมไว้หลายแสนบาท...ผมไม่เดือดร้อน
ว่าแล้วก็ชวนพ่อกินเหล้า พ่อรับมาจิบพอเป็นพิธี น้าสมชายก็เล่าว่า...เมียผมจูงลูกสาวมาเยี่ยมทุกคืน ที่เสียงดังไปบ้างก็เพราะคุยกับลูกเมียจนลืมตัว
พ่อกลับมาเล่าว่าจนใจ...แต่เพื่อนบ้านไม่เชื่อว่าน้าเกศพาลูกสาวมาหา โทษแต่ว่าส่งเสียงตะโกนเอะอะเพราะฤทธิ์เหล้าเมาจนบ้า น่ารำคาญออกจะตายไป!
แต่คืนหนึ่งก็เกิดเรื่องสยองขวัญขึ้นที่หน้าบ้านน้าสมชาย มีคนรู้เห็นกันหลายคน
คืนนั้นฝนตกพรำมาแต่หัวค่ำ ในซอยค่อนข้างเปลี่ยว จู่ๆ ก็มีเสียงตะโกนลั่นมาจากบ้านน้าสมชายว่า ...รอเดี๋ยว ทำไมมาดึกนัก คนเมาโว้ย!
ผมกับพ่อลุกออกไปดูก็ไม่เห็นอะไร นอกจากอากาศค่อนข้างเยือกเย็น หมูหมาก็เห่าหอนเสียงโหยหวน...แว่วเสียงพูดจามาจากหน้าต่างบ้านนั้น
"เออ! ไม่อยากอยู่แล้วโว้ยโลกนี้ ไปก็ไป...จะได้หมดทุกข์หมดร้อนเสียที"
เรานึกว่าน้าสมชายพูดพร่ำคนเดียว เพราะความเมา มายตามเคย กินเหล้าเหมือนจะฆ่าตัวตายแบบนี้คงอยู่ได้ไม่นานหรอกครับ...ว่าจะเข้าบ้านแล้ว แต่เราก็ต้องชะงักงันคาที่
ประตูรั้วแบบสองบานเปิดกว้างออก...
แสงสว่างจากไฟฟ้าในซอยส่องให้เห็นน้าสมชายกับน้าเกศและลูกสาว เดินตัวตรง ดูแข็งทื่อ ออกมาสู่ที่เปียกโชก ดูวาววับอยู่ในแสงไฟ...แถมน้าสมชายยังหันมามองเราพลางยิ้มนิดๆ เล่นเอาผมตกตะลึงตัวแข็งไปหมด
แล้วร่างทั้งสามก็พากันเดินช้าๆ เหมือนลอยเข้า ไปทางก้นซอย ท่ามกลางเสียงหมาหอนโจ๋...ราวกับพวกมันได้เห็นภาพที่น่าสยดสยองพองขนอย่างเหลือประมาณ!