สมัยเด็กผมอยู่ถนนตก ใกล้กับโรงงานสบู่และผงซักฟอก สะพานกรุงเทพ ยังเป็นของใหม่ ตอนเย็นๆ มีคนชอบไปเดินรับลมกับดูวิวแม่น้ำเจ้าพระยาเป็นประจำ
เรือแพขวักไขว่ทั้งเรือยนต์ลำเล็กๆ และเรือสินค้าลำโตๆ ผู้คนพลุกพล่านหนาตา ทั้งขึ้นรถลงเรือ ทั้งคนงานไปมาตอนเช้ากับตอนเย็น และลูกจ้างรายวันกะละ 8 ชั่วโมงอีกด้วย
พวกสาวๆ โรงงานสุมาลีเบเกอรี่ ตอนเย็นๆ ชอบออกมาเดินฉุยฉาย ชมวิวบ้าง ซื้อขนมบ้าง พวกเธอกินอยู่หลับนอนในบ้านตึกสองชั้นที่เป็นโรงงาน...แถวนั้นพอเลยค่ำไปไม่นานก็เริ่มเปลี่ยวแล้วครับ
ด้านหลังโรงงานเป็นสวนลึกไปเกือบถึงริมแม่น้ำ ร่ำลือกันว่าผีดุนักหนาเพราะมีคนจมน้ำตายเป็นประจำ บางทีก็มีศพลอยมาเกยฝั่ง สภาพเน่าเฟะคนใจอ่อนไม่กล้าดูแล้วกัน
ที่สะพานกรุงเทพ ก็มีคนกระโดดน้ำตายบ่อยๆ
เจ้าจุกเป็นเด็กใกล้ๆ บ้านผมเอง วันดีคืนร้ายมันก็โดนผีเข้า อาการน่าขนหัวลุก!
เพราะความซุกซนแก่นแก้ว ทำให้มันตะลอนๆ ไปทั่ว ไม่ว่าท่าน้ำหรือสะพาน บางทีก็โดดขึ้นรถเมล์สายท่าเตียน-ถนนตกไปถึงบางรัก สีลม...ตอนเย็นๆ ก็รีบ กลับบ้านไปรับหน้าพ่อแม่ ที่ทำงานอยู่โรงยาสูบบ้านใหม่ด้วยกันทั้งคู่
เจ้าจุกเป็นลูกชายคนเดียว หน้าตาน่ารัก เฉลียวฉลาดเกินวัย แถมช่างพูดเป็นต่อยหอย พ่อแม่จึงรักใคร่ ตามอกตามใจเป็นพิเศษ
วันเกิดเหตุ เจ้าจุกไปวิ่งเล่นที่ท่าเรือกับเพื่อนๆ จนมืดค่ำ กลับมาไม่ทันพ่อแม่เลยโดนดุ แต่มันกลับนั่งกอดเข่าซุกอยู่มุมระเบียง พ่อแม่ถามอะไรก็ไม่ยอมพูดจา ให้ไปอาบน้ำกินข้าวก็นั่งเฉย นัยน์ตาเหม่อลอย...ในที่สุดก็สะอึกสะอื้นเบาๆ น้ำตาไหลลงอาบแก้มน่าเวทนา
พ่อแม่ตกใจเข้าไปจับตัวเขย่า ถามว่าเป็นอะไรไปมันก็ไม่ตอบ ได้แต่ยกมือเช็ดน้ำตาป้อยๆ อยู่ท่าเดียว
ในที่สุด ก็เชื่อแน่ว่าเจ้าจุกโดนผีเข้า!!
เพื่อนบ้านได้ข่าวก็ชวนกันไปเยี่ยม จนแทบเต็มระเบียงบ้านชั้นเดียวเตี้ยๆ ใครถามอะไรก็ไม่ตอบ เอาแต่สะอื้นไห้เบาๆ ท่ามกลางแสงไฟเยือกเย็น ต้นไม้ดกหนาร่มครึ้ม บรรยากาศวังเวงใจน่ากลัว
ป้าล้อม-หมอนวดชื่อดังในย่านนั้นเอียงคอมองเจ้าจุกแล้วถอนใจยาว
"ข้าเคยเห็นคนโดนผีเข้ามาเยอะแยะ แหม! มันล้วนแต่พูดจาเสียงแปลกๆ ทั้งนั้น บอกกล่าวว่าเป็นใคร มาจากไหน แล้วบอกว่าอยากกินนั่นกินนี่....ไอ้ที่เอาแต่นั่งร้องไห้อย่างเดียวก็เพิ่งเคยเห็นนี่แหละวะ"
ลุงสุด-อาจารย์ไสยศาสตร์ชื่อดังอยู่ตรอกหมอได้ข่าวก็มาดูอาการ ชาวบ้านก็ยิ่งมากันมากขึ้นทุกที
"เอ็งชื่อไร? มาจากไหน? ต้องการอะไร?"
ลุงสุดถามซ้ำๆ ซากๆ แต่เจ้าจุกไม่ยอมตอบ เอาแต่สะอื้นฮักๆ น้ำตาไหลพรากเหมือนเผาเต่าตามเดิม ป้าล้อมถามว่าเคยเห็นผีเข้าแบบนี้ไหม? ลุงสุดก็ส่ายหน้า กลืนน้ำลายอึกใหญ่ เหงื่อแตกซิกเต็มหน้าผาก บอกว่าจำเป็นต้องใช้หวายลงอาคมเฆี่ยนเพื่อไล่ผีออกไป ถ้าขืนปล่อยทิ้งไว้จะเป็นอันตราย
อากาศยามค่ำในฤดูหนาวยิ่งเย็นยะเยือกจับใจ แสงไฟจากเพดานทำให้หน้าตาเจ้าจุกเกิดรูปเงาแปลกประหลาด บางครั้งคล้ายคนหนุ่มบึกบึน แต่บางคราวก็เหมือนชายชราหน้าตาเหี่ยวย่น เสียงลมพัดลู่กับยอดไม้คละเคล้ากับเสียงสะอื้นน่าขนลุก
พ่อแม่เจ้าจุกรักลูกมากจนไม่ยอมให้เฆี่ยนตี คิดในแง่ดีว่าลูกชายอาจจะเจ็บไข้อาการหนักกระทั่งพูดจาไม่ได้...คิดว่าจะพาส่งโรงพยาบาลให้หมอตรวจดีกว่า
ลุงสุดนั่งขัดสมาธิหลับตาครู่หนึ่งก็พยักหน้าช้าๆ ลืมตาขึ้นบอกว่า เจ้าจุกถูกวิญญาณพเนจรคล้ายลมเพลมพัดเข้ามาสิงร่าง...เป็นสัมภเวสีที่น่าเวทนาด้วยซ้ำไป!
ว่าแล้วแกก็ขอธูปเก้าดอกมาจุด หลับตาพึมพำคาถาพักใหญ่ ในที่สุดแกก็พูดกับเจ้าจุกด้วยเสียงอ่อนโยนว่า...อย่าร้องห่มร้องไห้ไปเลย ชาตินี้หมดทุกข์หมดโศกแล้ว ขอให้ไปสู่ภพใหม่อันสงบสุขเถิด...
ผมจำได้ว่าลุงสุดพูดจาทำนองนี้อยู่ครู่หนึ่ง ท่ามกลางสายตานับสิบๆ คู่ที่จ้องมองแทบไม่กะพริบ เสียงสะอึกสะอื้นของเจ้าจุกจึงค่อยๆ เงียบหายไป
สายลมกระโชกวูบ เล่นเอาสะดุ้งเฮือกไปตามๆ กัน ขณะที่เจ้าจุกหันขวับไปมองพ่อแม่ ยิ้มแป้นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แม่โผเข้ากอดมันไว้แน่นขณะที่พวกเราทยอยกันกลับ...ผมเสียวสันหลังวูบๆ ยิ่งกว่าตอนมองเห็นเจ้าจุกถูกผีเข้าด้วยซ้ำไป!