สมัยวัยรุ่นผมอยู่สามพราน นครปฐม มีเพื่อนสนิทชื่อแกละ นิสัยซุกซนจนถึงแก่นแก้วมาตั้งแต่เด็กๆ ทั้งคู่ ไปไหนไปกัน เฮไหนเฮนั่น อยากรู้อยากเห็นไปสารพัดอย่างใครอย่าห้ามซะให้ยาก เข้าตำรา "ยิ่งว่าเหมือนยิ่งยุ"
อ้อ! การอยากรู้อยากเห็นนี่มีขอบเขตพอสมควร ไม่ใช่ไปแอบดูใครเขาอาบน้ำ หรือฉุดสาวเข้าป่า กระทำอนา จารจนถึงข่มขืนกระทำชำเรา อย่าเข้าใจผิดล่ะครับ
ไม่คิดและไม่อยากเสี่ยงคุก บอกตรงๆ
เหตุการณ์ขนหัวลุกเกิดขึ้นตอนต้นปี เรานัดแนะกันไปงมกุ้งที่วัดหอมเกร็ด พุทธมณฑลสาย 7 ตำบลหอมเกร็ด บ้านเกิดผม ไม่ใช่ทำซ่าเป็นเสือข้ามห้วยให้มีปัญหากับเจ้าถิ่น
เราเคยดำน้ำจับกุ้งกันมาหลายครั้งแล้ว คืนเกิดเหตุก็พบกันตอนสี่ทุ่ม อุปกรณ์ก็มีไฟฉายกับตะกร้าที่มีฝาปิดมิดชิด นึกกระหยิ่มจะได้ชิมเนื้อหวานๆ ของกุ้งก้ามกรามที่มีอยู่ชุกชุม
อากาศในฤดูหนาวเยือกเย็นดีแท้ แต่ยามนี้แหละครับที่กุ้งชุกชุมมากที่สุด!
ริมฝั่งแม่น้ำท่าจีนมีต้นไม้ใหญ่น้อยร่มครึ้ม พงอ้อกอหญ้าดูตะคุ่มๆ อยู่ในแสงจันทร์ สายลมพัดแรงจนยอดไม้ไหวซ่า ส่งคลื่นลูกเล็กๆ เข้าหาชายฝั่ง บรรยากาศชวนให้วังเวงใจบอกไม่ถูก ถ้าใครขวัญอ่อนหรือไม่เคยย่างกรายมาก่อน มีหวังหลังเย็น อีกทั้งเหลียวซ้ายแลขวาอย่างหวาด ระแวงเป็นแน่
เราคนท้องถิ่นนะครับ ชาชินจนไม่กลัวแล้ว ไม่ว่าจะเป็นกลางวันหรือกลางคืนเปล่าเปลี่ยวแบบนี้ก็เถอะเอ้า
แหม...น้ำเย็นเฉียบเหมือนน้ำแข็งไม่มีผิด!
ยิ่งดำลงไปถึงพื้นดินข้างล่าง ยิ่งเย็นจัดจนหนาวสะท้านไปทั้งตัว
ไม่สนใจอะไรหรอกครับ นอกจากกุ้งก้ามกรามตัวโตๆ เท่านั้นเอง...โอ้โฮ! พอล้วงมือเข้าไปในซอกหินก็จับกุ้งได้ทันใด นึกอยู่ว่าคืนนี้กุ้งชุมจริงๆ แฮะ แค่ล้วงมือเข้าไปครั้งแรกก็จับกุ้งได้แล้ว แถมยังเกาะกันอยู่นิ่งๆ เห็นตาแดงๆ ตั้ง 4-5 ตัวแน่ะ
รีบดีดตัวขึ้นสู่ผิวน้ำ...เห็นเจ้าแกละโผล่ขึ้นมาก่อน พลางอวดว่า "ข้าดำครั้งเดียวได้ตั้ง 2 ตัวเลยว่ะ กุ้งก้ามกรามตัวใหญ่ซะด้วยซี"
แน่ละ! ไม่ใช่กุ้งนางนี่นาจะได้ตัวเล็กๆ ผมรีบเอากุ้งใส่ตะกร้าที่ปิดฝาแช่น้ำไว้ที่ต้นไม้ริมฝั่ง ก่อนรีบดำลงไปใหม่...เผลอๆ คืนนี้มีหวังได้กุ้งเต็มตะกร้าแน่ๆ
เอ๊ะ! ทำไมน้ำถึงเย็นเฉียบยิ่งกว่าเดิมก็ไม่รู้ ทั้งๆ ที่ร่างกายน่าจะปรับตัวได้แล้วนะ? ขณะที่กำลังล้วงมือเข้าไปในซอกหิน พลันขาข้างหนึ่งก็ถูกกระตุกพรวด...เจ้าแกละเล่นพิเรนทร์เข้าแล้วซี ทำเอาใจหายวูบไปเลย
พอจับกุ้งได้ก็โผล่ขึ้นมาสูดอากาศเข้าปอด แต่เจ้าแกละยังไม่โผล่ขึ้นมา ผมเอากุ้งใส่ตะกร้าตามเคยแล้วกลั้นใจดำลงไปใหม่...โผล่ขึ้นมาคราวนี้พบหน้าเจ้าแกละพอดี
"เฮ้ย! เมื่อกี้ดึงขาข้าทำไมวะ?"
"เปล่าดึงนะ! น้ำมันคงหมุนวนละมั้ง ข้ายังถูกดึงขาเลย"
เอ๊ะ! ยังไงแน่...เลยนัดแนะกันว่าจะลงงมคนละ 3 ครั้งก่อนกลับ...แต่ครั้งสุดท้ายนี่เราเกิดโผล่โพล่งขึ้นมาพร้อมกัน เจ้าแกละลูบหน้าก่อนจะชี้มือมาทางผมแล้วร้องว่า เฮ้ย! อะไรอยู่ข้างหลังเอ็งน่ะ? เล่นเอาผมต้องหันขวับไปดูทันที
คุณพระช่วย! ในแสงจันทร์เยือกเย็นจับใจนั้นปรากฏร่างศพลอยน้ำอืดราวกับถังน้ำมันขนาด 200 ลิตรอยู่ใกล้ๆ ตัว ส่งกลิ่นเหม็นเน่าคละคลุ้งจนผมร้องเอิ๊บ! ปล่อยกุ้งหลุดมือแล้วรีบว่ายน้ำเข้าฝั่ง เจ้าแกละว่ายตามมาติดๆ คว้าตะกร้าใส่บ่าขึ้นฝั่งได้ แล้วก็หันไปมองงงๆ
"ศพลอยน้ำตั้งแต่เมื่อไหร่วะ...อ้าว? เฮ้ยๆๆ ทำไมมันหมุนได้ล่ะ?"
ผมจ้องมองให้ถนัดตา ใจเต้นแรงเมื่อเห็นศพหมุนได้จริงๆ ทั้งที่บริเวณนั้นไม่ใช่วังน้ำวน เพราะมีระลอกคลื่นซัดเข้าฝั่งตลอดเวลา
"ไม่ใช่วังน้ำวนนี่หว่า" แกละคราง "มันชักยังไงๆ นะโว้ย หรือเราโดนผีหลอก"
ให้ตายเถอะ! ผมสั่นสะท้านไปทั้งตัว ทั้งหนาวทั้งกลัวเพราะคิดตรงกับเพื่อน...เราเผ่นพรึ่บพร้อมๆ กันเหมือนนักวิ่งออกเส้นสตาร์ต ยังดีที่ไม่ลืมคว้าตะกร้าใส่กุ้งติดมือมาด้วย
รุ่งเช้า เราไปเตร่อยู่แถวหน้าวัดหอมเกร็ด เพื่อจะดู ศพลอยน้ำเมื่อคืนให้รู้แน่ชัดเพราะยังไงๆ ศพก็ต้องลอยเข้าคลองให้สัปเหร่อเก็บไปไว้ที่ศาลาวัดแน่ๆ
ผิดคาดครับ! ไม่มีวี่แววแม้แต่น้อย ไม่ว่าจะเป็นที่วัดหรือริมแม่น้ำตรงปากคลอง ที่เราพบศพเมื่อคืน...ถามชาวบ้านก็ไม่มีใครทราบเรื่องศพลอยน้ำเลยแม้แต่คนเดียว
"งั้นเมื่อคืนเราก็เจอผีกันน่ะซี" เจ้าแกละหน้าขาวซีด บอกผมเสียงสั่นเครือราวคนไข้หนัก ผมได้แต่พยักหน้ากลืนน้ำลาย..เราเลิกงมกุ้งเด็ดขาด ไม่ว่าที่หน้าวัดหรือปากคลองหอมเกร็ด เพราะมันอยู่ใกล้ๆ กันแค่นั้นเอง...บรื๋อส์!!