ผมเป็นคน ต.ท้ายทุ่ง ต.ทับคล้อ จ.พิจิตร แดนดินถิ่นชาละวัน ไปเกณฑ์ทหารจับได้ใบดำ ฉลองกันเสร็จก็ไปอยู่กับน้าชายที่พัทยา แต่เกิดเรื่องจนเข้ามาอยู่กรุงเทพฯ โชคดีได้งานขับรถบ้าน กินอยู่เสร็จ คิดว่าชีวิตคงจะราบรื่นเสียทีเพราะอายุก็ปาเข้าไปสามสิบปีแล้ว
จะมีห่วงก็แม่คนเดียวที่พิจิตรเท่านั้น พวกพี่ๆ แยกย้ายไปมีครอบครัวกันหมด ต่อมาพ่อตายก็เหลือแต่แม่คนเดียว พวกพี่ๆ ช่วยกันดูแล ผมเองก็ส่งเงินไปบ้าง ไปเยี่ยมแม่บ้าง
การเดินทางสะดวกครับ ขึ้นรถสปินเตอร์ที่หัวลำโพงไปลงตะพานหินแล้วต่อสองแถวหรือแท็กซี่บึ่งไปทับคล้อได้เลย ตอนกลางวันไปสองแถวถูกเงินหน่อย แต่ถ้าถึง 2-3 ทุ่มต้องนั่งแท็กซี่ไป ไม่ใช่แท็กซี่แบบในกรุงนะครับ แต่ต้องรอให้ผู้โดยสารเต็มถึงจะออกรถ
ข้างหน้า 2 รวมคนขับเป็น 3 คน ข้างหลังมีผู้โดยสารอีก 4 คน แบบว่าอัดกันเป็นปลากระป๋องยังไงยังงั้น เรื่องติดแอร์เย็นฉ่ำน่ะอย่าไปเพ้อฝันเลอะเทอะดีกว่า
เมื่อปีกลายผมกลับบ้านตอนหน้าฝน เจอเรื่องขนหัวลุกเข้าเต็มเปา!
สาเหตุเพราะผมนั่งรถไฟไปถึงตะพานหินตอนหัวค่ำ ท้องไส้ร้องจ๊อกๆ เลยแวะร้านเหล้าขาประจำ ซดเบียร์และกับแกล้ม 2-3 อย่าง ไม่อยากกระหืดกระหอบไปนั่งหิวบนรถสองแถว ยังไงๆ ก็ต้องไปแท็กซี่อยู่ดี
เสร็จสรรพจ่ายเงินเดินไปที่คิวรถแท็กซี่...จู่ๆ เกิดง่วงนอนบอกไม่ถูก ใจหนึ่งก็อยากเข้าโรงแรมหลังสถานี เปิดห้องหลับนอนให้เต็มอิ่ม แต่อีกใจก็...กลับบ้านดีกว่าน่า!
สะบัดหัวไล่ความมึนงง มองเห็นแท็กซี่กำลังกดแตรเรียกคน...ผู้โดยสารคงจะเต็มรถแล้วมั้ง? ปรากฏว่าเหลือที่ว่างด้านหลังอีกคนเดียว...พอรถออกก็ถอนใจโล่งอก ถึงจะเบียดกันหน่อยก็ไม่เป็นไรเพราะผมนั่งริมประตู ถือโอกาสพิงหลับซะเลย หลังจากบอกคนขับว่า...ลงทับคล้อ! ถ้ายังไม่ตื่นก็ช่วยปลุกด้วยละกัน เดี๋ยวจะเลยไปจนถึงปลายทางที่ชนแดน
ไม่ช้าผมหลับผล็อยไป...เดี๋ยวเดียวก็เริ่มฝันเป็นตุ เป็นตะทันที!
รถกำลังห้อตะบึงไปในความมืด ในรถก็ไม่ได้เปิดไฟ แต่ทำไมถึงเห็นหน้าตาคนอื่นๆ ชัดเจนก็ไม่รู้...ข้างหน้ามีหนุ่มสาวนั่งอิงไหล่กันผาสุก ข้างๆ ผมเป็นชายแก่ผอมดำ ผมขาวโพลน ถัดไปชายฉกรรจ์รุ่นเดียวกับผม...ทั้งสามคนนั่นนั่งตัวแข็งทื่อเหมือนรูปหุ่น ไม่มีใครปริปากพูดคุยกันเลยแม้แต่คำเดียว
มองข้างหน้าอีกทีก็ใจหายวาบ...ไม่มีหนุ่มสาวคู่นั้นแล้ว กลับเป็นชายสองคนนั่งตัวแข็ง หัวตั้งตรงคล้ายกำลังจ้องไปข้างหน้าอย่างเดียว...คนขับก็มีท่าทางแบบเดียวกัน
สรรพสิ่งเงียบเชียบจนน่าขนลุก ไม่มีเสียงเครื่องยนต์ดังกระหึ่ม แต่กลับมีเสียงลมพัดอู้ๆ เข้ามาในรถ จนผมหนาวเยือกไปถึงขั้วหัวใจ!
เอ๊ะ! นี่มันฝันหรือจริงกันแน่ล่ะ?
ฉับพลันนั้น ชายแก่ผมขาวโพลนก็กระชากมีดปลายแหลมออกมาจ้วงแทงคนที่นั่งข้างๆ จนเลือดพุ่งเป็นน้ำพุ ผู้ชายที่นั่งริมสุดก็โถมไปใช้มีดปาดคอคนขับจนคางฟุบจดอก...ชายสองคนข้างหน้าก็ชักมีดออกมาจ้วงแทงกันอย่างดุเดือดเหี้ยมเกรียม
ในรถมีแต่เลือด เลือด และเลือดทั้งนั้น ส่งกลิ่นเหม็นคาวคละคลุ้งจนแทบอาเจียนสิ้นไส้สิ้นพุง!
"โอ๊ย! ช่วยด้วย..." ผมได้ยินเสียงตัวเองตะโกนลั่นๆ จนสะดุ้งตื่น คนขับหันมาหัวเราะร่า ถามว่า...ฝันร้ายเรอะไอ้น้อง? ผมได้แต่พยักหน้า ปากคอแห้งผากจนพูดอะไรไม่ออก เหงื่อกาฬแตกซิก หัวใจเต็นโครมครามเหมือนเสียงกระหน่ำกลองทัดในโรงลิเก
"ไม่มีอะไรหรอก หลับตาเถอะ..." เสียงเยือกเย็นชวนให้เสียวสันหลัง ผมเหลียวมองก็ไม่เห็นอะไรในความมืด...ไม่เห็นอะไรเลยจริงๆ จนผมเอะใจว่าจะเห็นใครมั่งแต่ก็ไม่เห็น
พริบตานั้นเอง ผมก็อ้าปากค้าง ขนลุกซ่าที่ท้ายทอย เย็นวาบไปตลอดไขสันหลัง รู้สึกเหมือนได้ยินอะไรลั่นเปรี๊ยะๆ อยู่ในสมอง ภาพต่างๆ พร่าพราย กลายเป็นสีเขียวๆ แดงๆ แตกกระจายเต็มหน้า
นรกเป็นพยาน! ในรถคันนั้นไม่เหลือผู้โดยสารอีก 5 คนอยู่เลย นอกจากผมคนเดียว...หันไปทางคนขับก็แทบจะขาดใจตายในบัดดล!
ในรถแท็กซี่อุบาทว์คันนั้นมีแต่ผมคนเดียวที่นั่งตัวแข็งทื่อราวกับถูกสาปให้กลายเป็นหิน เหงื่อกาฬไหลเผาะๆ แทบจะเปียกชุ่มไปทั้งตัว
รวบรวมกำลังครั้งสุดท้ายโถมเข้าชนหน้าต่างจนเปิดผาง ตัวเองกลิ้งหลุนๆ ลงมาคิดว่าจะลุกขึ้นเผ่นหนีไม่คิดชีวิต...พอดีเห็นแสงไฟสว่างไสวอยู่รอบๆ ตัว
ผู้คนมุงดูสลอน ผมกะพริบตาถี่ๆ เมื่อจำได้ว่ายังอยู่ที่หลังสถานีตะพานหินตามเดิม...หรือผมจะทั้งเมาทั้งง่วงจนเห็นภาพหลอนไปเอง? แต่มารู้ทีหลังว่าคนขับแท็กซี่หัวใจวายคารถเมื่อตอนเย็นนี่เอง...นึกแล้วยังขนหัวลุกเลยครับ!