ป้าเป็นคนบางบาล อยุธยา มาตั้งแต่เด็กจน สาว ตอนนี้ปาเข้าไปห้าสิบกว่าๆ แล้ว เคยผจญเวรผจญกรรมกับน้ำท่วมมานับครั้งไม่ถ้วน มากบ้างน้อยบ้าง แต่ก็ต้องเจอะเจอเข้าทุกปีแหละค่ะ ไม่รู้เวรกรรมอะไรนักหนา
ยิ่งเข้าหน้าฝนเป็นใจเต้นตุ๊มๆ ต้อมๆ ไปหมด แต่ถ้ารอดไปถึงหน้าน้ำก็ต้องลุ้นระทึกอีกว่าจะเจอน้ำเหนือบ่าลงมาเจิ่งนองสุดลูกหูลูกตาเหมือนปีก่อนๆ อีกหรือเปล่าหนอ?
ส่วนมากน่ะไม่ค่อยรอดหรอกค่ะคุณ!
ฟังวิทยุหรือดูทีวีแล้วใจหายใจหกทุกทีไป ไม่ว่าจะเป็นพายุจากทะเลจีนใต้ เข้าฟิลิปปินส์แล้วจะพุ่งเข้าเวียดนามก่อนโจมตีไทย แม้จะกลายเป็นดีเปรสชันที่เบาบางลง แต่บ้านเราก็โดนเต็มๆ ทั้งอีสาน เหนือ และภาคกลาง ล่ะค่ะ
ขนาดน้ำท่วมหนัก บ้านช่องไร่นาพินาศวอดวายผู้คนเดือดร้อนกันนับแสนๆ ครอบครัวเชียว เจ้าประคุณเอ๋ย เมื่อไหร่ทางการจะแก้ไขปัญหาซ้ำซากนี้ได้สำเร็จเสียทีหนอ?
ก่อนนั้นตอนหน้าร้อน กรมชลฯ ก็ไม่ยอม "พร่องน้ำ" จากเขื่อนลงมา อ้างว่าถ้าเกิดฝนแล้ง จะทำยังไง? พอโดนพายุกระหน่ำ ฝนตกเหมือนฟ้ารั่ว 3 วัน 3 คืนก็ตาลีตาเหลือกปล่อยน้ำลงมาแทบหายใจหายคอไม่ทัน ตั้งแต่เหนือลงมาจนถึงภาคกลาง สิงห์บุรี อยุธยา กับอ่างทองก็รับไปเต็มๆ น่ะซีเจ้าคะ
อีกแค่ 2-3 วันก็ทะลักถึงปทุมธานี นนทบุรี แล้วกรุงเทพฯ รอบนอกจะไปมีอะไรเหลือล่ะ ทูนหัว?
น้ำท่วมใหญ่เมื่อปีก่อน ป้ากับลุงดันไปเจอะเจอเรื่องสยองขวัญเข้าเต็มเปาค่ะ!
ปีนั้นน้ำท่วมสาหัส มีคนตกน้ำตายไป 3 คน เผาผีก็ไม่ได้เพราะน้ำท่วมเมรุ คนที่ดันทุรังขนศพลงเรือไปวัดก็เกิดเรือล่ม ...ทั้งคนทั้งศพในโลงถูกกระแสน้ำพัด กระเจิงไป คิดดูเถอะค่ะว่าน่าขนลุกขนพอง แค่ไหน?
พวกเราละแวกใกล้เคียงกัน ไม่ว่าบางชะนี กบเจ่า หรือบางบาลบ้านปาน่ะ นอกจากพวกหากุ้งหาปลาแล้วยังชอบใช้เรือไปมาหาสู่กันในย่าน ใกล้ๆ ผิดกับพวกคนหนุ่มสาวรุ่นใหม่ที่เขาห้อปิกอัพ ควบมอเตอร์ไซค์กันตามยุคตามสมัย แต่คนรุ่นป้าน่ะไม่เอาด้วยหรอก บอกตรงๆ ว่าหวาด เสียวซะไม่มี
อ้าว? อุตส่าห์ใช้เรือแล้วยังไม่วายโดนผีหลอกซะอีกแน่ะ!
สาเหตุจากที่ป้าได้ข่าววาพี่สาวลื่นหกล้มบนนอกชานบ้าน เพราะมาเก็บข้าวเก็บของที่พอจะขนหนีน้ำได้ กับรอรับข้าวน้ำกับถุงยังชีพ ที่มีตกๆ หล่นๆ บ้าง รับแล้วก็ได้รับอีกบ้าง...คนช่วยเหลือมีน้อยกว่า ต้องไปทางเรือลำบากลำบนน่าเห็นใจ... ไม่ว่าอะไรกันหรอกค่ะ
หลานชายมันพายเรือมาส่งข่าวที่บ้านกุ่ม บาง บาล บอกว่าไม่รู้จะส่งโรงพยาบาลได้ยังไงตอนนี้ ก็ใช้ยากินยาทาตามแบบพื้นบ้านปะทะประทังไปก่อน ป้าเลยชวนลุงให้ลงเรือไปเยี่ยมเยียนถามไถ่อาการด้วยกัน
ขาไปก็ไปกับหลานชาย เรือคนละลำ เมื่อถึงบ้านก็เห็นพี่สาววัยใกล้ หกสิบนอนซม แต่ยังพูดจากันรู้เรื่อง กำลังใจยังดีค่ะ บอกว่าไม่หนักหนาอะไรหรอก อีกไม่กี่วันก็คงลุกได้ น้ำท่าคงจะลดแล้ว จะห่วงก็แต่ข้าวในนาที่ยังจมอยู่ใต้น้ำเท่านั้น
ราวห้าโมงเย็นป้าก็ลากลับ หลานชายจะพายเรือมาเป็นเพื่อน ป้าก็บอกปัดว่าไม่ต้องเหนื่อยแรงเสียเวลาหรอก ให้ดูแลแม่เชื้อทางนี้ดีกว่า ถ้าน้ำลดแล้วจะมาเยี่ยมเยียนกันใหม่
แล้วป้ากับลุงก็พายเรือ กลับบ้าน...
ป้าพายหัว ลุงพายท้าย ขา กลับไปตามน้ำเลยไม่ค่อยเหนื่อยแรงเท่าไหร่ ป้ามองอะไรซ้ายขวาเล่นเพลินๆ เพราะแม่น้ำมันกว้างขวาง ดูเวิ้งว้างน่าใจหาย สองฝั่งมีต้นไม้หนาทึบ เสียงลมพัดหวีดหวิวระคนกับเสียงพายจ้วงน้ำจ๋อมๆ กอสวะใหญ่น้อยลอยลิ่วๆ ไปทางป่าโมก
ใกล้บ้านเข้าไปทุกที เมฆหนาทึบลอยต่ำ ป้าถอนใจเฮือกใหญ่...ฝนฟ้าขออย่าได้ซ้ำเติมกันอีกเลย เจ้าประคุณเอ๋ย!
ทันใดนั้นเสียงโพล่ง! ก็ดังขึ้นใกล้ๆ เรือกะทันหัน...ใครคนหนึ่งชูมือขึ้นมาเหนือน้ำ ได้ยินแว่วๆ ว่าช่วยด้วย...ลุงวางพายลง เอื้อมไปคว้ามือนั้นผิดๆ ถูกๆ ส่วนป้าก็ละล้าละลัง ใจเต้นโครมครามเมื่อเห็นคนกำลังจะจมน้ำตายต่อหน้าต่อตา
ในที่สุดลุงก็คว้าข้อมือไว้ได้ ดึงแรงๆ พร้อมกับร่างนั้นทะลึ่งพรวดขึ้นมาเกือบถึงอก...ตาเทียนคนบางบาลนั่นเองที่หวิดจะจมน้ำตาย หน้าตาเหลือกลาน สำลักน้ำยกใหญ่
จู่ๆ ป้าก็นึกขึ้นมาคล้ายฟ้าแลบวาบเข้าสมอง... ตาเทียนจมน้ำตายแล้วนี่นา!!
ลุงก็คงเพิ่งนึกขึ้นได้ เมื่อเห็นหน้าขาวซีดเริ่มเปื่อยจนเนื้อหลุดเป็นชิ้นๆ นัยน์ตาลึกกลวงเหมือนถ้ำนรกที่ล้ำลึก ปล่อยมือออกพลางผงะหน้าร้องลั่นว่า ผีหลอกโว้ย! ผีหลอก...
ผีตาเทียนจมวูบไปในสายน้ำขุ่นคลั่ก เราจ้ำพายกันไม่คิดชีวิต...ขนหัวลุกซีคะ!