ดิฉันอยู่ในซอยหน้าสถานีรถไฟสามเสน ซอยนี้ไปออกถนนนครไชยศรีก็ได้ หรือจะทะลุหมู่บ้านที่เรียกว่าซอยฟักไข่ไปออกถนนพระรามห้าก็ได้ค่ะ
สมัยก่อนซอยนี้เปลี่ยวมากทั้งกลางวันและกลางคืน เพราะบ้านที่ปลูกติดๆ กันล้วนมีรั้วรอบขอบชิดทั้งหมด ตอนบ่ายๆ มักมีคนโดนจี้ โดนคนร้ายดักอยู่ตามหัวมุมบ้าง บึ่งมอเตอร์ไซค์มาใช้จี้ด้วยปืน ขนาดตำรวจ สน.ดุสิตยังเรียกว่า "ซอยเปลี่ยวใจ" เลยค่ะ!
ยิ่งตอนค่ำคืนชาวบ้านล้วนแต่กลัวทั้งคนและผี ไม่มีใครอยากเดินผ่าน ยกเว้นแต่พวกผู้ชายที่มากันเป็นกลุ่ม พอเข้าซอยไม่ไกลก็มีทางแยกด้านซ้าย ก้นซอยเป็นทางแคบๆ ซอยต่อมามีทางแยกซ้ายขวาที่อ้อมไปทะลุถึงกัน ต่อมามีคอนโดฯ ผุดขึ้นมาทำให้ผู้คนคึกคักหนาตากว่าเดิม แต่ก็ยังถือว่าเปลี่ยวน่ากลัวอยู่นั่นเอง
จุดสำคัญที่สุดคือ ก่อนถึงทางแยกทั้งซ้ายและขวา จะมีที่รกร้างอยู่ซ้ายมือ คนมักง่ายเอาขยะไปทิ้งประจำ หลายๆ ปีเข้าก็กลายเป็นกองขยะสูงท่วมหัวท่วมหูเป็นภูเขาเลากาเลย
ต่อมา เจ้าของที่เอารั้วลวดหนามไปกั้นไว้ริมทาง กทม.ก็มาช่วยโกยขยะไปบ้าง แต่คนมักง่ายก็อาศัยทีเผลอโยนขยะเข้าไปจนกองพะเนินเทินทึกตามเดิม
ชาวบ้านลือกันว่า ที่นั่นแหละผีดุนักหนา!
บางคนว่าเป็นผีเจ้าที่ แต่บางคนก็ว่ามีผู้หญิงโดนฆ่าหมกศพไว้ที่นั่นหลายปีแล้ว
ที่ว่าผีดุก็เพราะมีคนเห็นหลายรายน่ะซีคะ บางทีขับรถกลับบ้านตอนกลางคืนก็เห็นผู้หญิงโผล่ออกมาจากกองขยะครึ่งตัว บางคนก็เห็นยืนจังก้าอยู่บนกองขยะ ผมยาวสยายประบ่า แทบจะสติแตกไปตามๆ กัน
คุณลุงในซอยเคยออกไปจ๊อกกิ้งตอนเช้ามืด วันหนึ่งเกิดเห็นใครวิ่งจ๊อกกิ้งสวนทางมา ตอนแรกก็ดีใจว่ามีเพื่อนออกกำลังตอนเช้า แต่พอใกล้เข้ามาจนมองเห็นถนัด คุณลุงก็แทบจะช็อกตายคาที่อยู่ตรงนั้นเอง...นักวิ่งที่ใกล้เข้ามาน่ะ ไม่มีหัวหรอกค่ะ!
พอหันกลับได้ คุณลุงก็เปลี่ยนจากนักจ๊อกกิ้งเป็นนักวิ่งลมกรด รวดเดียวไปถึงบ้าน หอบฮั่กๆ เจียนตาย สบถสาบานว่าจะเลิกเป็นนักจ๊อกกิ้งไปจนชั่วชีวิตสลาย
มีคนค้านว่าอาจจะตาฝาดไปเอง เห็นกองขยะหรือเสาไฟฟ้าเป็นภูตผีปีศาจ ถ้าไม่เมามายก็ต้องประสาทหลอนแน่ๆ ผีสางที่ไหนไม่มีหรอก! แต่เมื่อมีคนโดนหลอกหลอนหลายรายติดๆ กันเข้า กับมีคนท้าให้ไปเดินดูของจริงตอนดึกๆ คนที่ค้านก็เงียบเสียงไปเลย
บรรยากาศบริเวณนั้นก็วังเวงน่ากลัวจริงๆ ด้วย!
บ้านข้างๆ กับฝั่งตรงข้ามมีรั้วแน่นหนา แถมปลูกต้นไม้ใหญ่ๆ พวกมะม่วงมะขามร่มครึ้มกันทุกบ้าน ลมพัดทีก็สะบัดใบซู่ซ่าเกรียวกราว เหมือนเสียงใครหัวเราะครืนขึ้นพร้อมๆ กัน ทำให้ผู้คนสะบัดร้อนสะบัดหนาว ใจคอเต้นตึกตักด้วยความหวั่นระแวง ส่วนมากตกค่ำก็เอาแต่หมกตัวอยู่ในบ้านแบบตัวใครตัวมันทั้งนั้น
คืนหนึ่ง ดิฉันกับป้าต้อยก็ประสบเข้ากับเหตุการณ์ขนหัวลุกเข้าอย่างจังๆ!
สาเหตุมาจากเราไปเยี่ยมญาติที่เปาโล สะพาน ควาย ผ่าตัดไส้ติ่งธรรมดานี่เองอาการไม่หนักหนาอะไร เราพบกับญาติมิตรหลายคนที่นั่น ส่วนมากรู้จักมักจี่กันทั้งนั้น เลยติดลมคุยกันสนุกสนานจนถึงสามทุ่มเศษถึงได้แยกย้ายกันกลับ
ไม่ใช่เราประมาทนะคะ อย่าเพิ่งเข้าใจผิด เราเรียกแท็กซี่หน้าโรงพยาบาลเพื่อความสะดวก บ้านดิฉันอยู่ถัดจากกองขยะผีสิง เลี้ยวขวาไปราวสามสิบกว่าเมตรก็ถึงบ้านแล้ว
แหม! ถ้าไม่หันไปมองกองขยะตอนรถแล่นผ่านก็ไม่ต้องกลัวผีหลอกดอกค่ะ!
เชื่อไหมคะว่าผ่านซอยแรกไปแล้ว กำลังจะเลี้ยวซ้ายไปถึงจุดหมาย แท็กซี่ก็เกิดเครื่อง ดับดื้อๆ ตอนแรกดิฉันกับป้าต้อยกุมมือกันแน่น คิดว่าโดนคนร้ายในคราบแท็กซี่เล่นงานแน่ๆ เพราะคนขับเป็นหนุ่มฉกรรจ์ร่างใหญ่ หน้าเหี้ยม นั่งเงียบมาตลอดทาง
เขาลองสตาร์ตเครื่องอีก 2-3 ครั้งแต่ก็ไม่ติด ลงไปเปิดฝากระโปรงดูสักพักก็ส่ายหน้ามาขอโทษขอโพยบอกว่าไม่รู้รถเป็นอะไร? เขาขับรถได้แต่แก้รถไม่เป็น ต้องโทรศัพท์ไปตามช่างหรือรถลากไปที่ปั๊มน้ำมัน
เราโล่งอกตอนแรก แต่แล้วก็เสียวใจวูบเมื่อนึกถึงกองขยะผีสิง!
ป้าต้อยจ่ายเงินให้ เขายกมือไหว้ขอบคุณ... พอเลี้ยวซ้ายก็รู้สึกว่าสรรพสิ่งเงียบกริบ อากาศเยือกเย็นจนขนลุก ว่าจะไม่มองไปทางกองขยะก็อดไม่ได้...แล้วก็ได้เห็นภาพนั้น
คุณพระช่วย! ร่างในชุดดำนั่งกอดเข่าอยู่ริมทางด้านซ้ายมือนั่นเอง...ดิฉันกลัวจนแทบร้อง ไห้ แต่ป้าต้อยปลอบให้ใจเย็น ป้ามีคาถาไล่ผี...ว่าแล้วก็เปล่งเสียงออกไปดังๆ ว่า
"ชาติหน้าฉันใดขออย่าได้เกิดมาพบพระพบเณร อย่าได้เกิดมาเห็นน้ำเห็นฟ้า เห็นดินเห็นทรายอีกเลย...เพี้ยง!"
ขาดคำ ร่างนั้นก็ลุกพรวดพราดขึ้นยืน หน้าดำเมี่ยม ผมยาวสยาย มีเสียงคล้ายกรีดร้องโหยหวนก่อนจะหายวับไป...เรารีบจ้ำรวดเดียวถึงบ้าน แทบเป็นลมเลยค่ะ!