ปัญหาที่มีผู้ถกเถียงกันมาเนิ่นนาน และดูเหมือนจะไม่มีวันสิ้นสุดลงง่ายๆ ก็คือ...ชาติหน้ามีจริงหรือ? และคนเราตายแล้วจะไปไหน?
เรื่องนี้ก็ขึ้นอยู่กับความเชื่อของใครของมันนะคะ แต่ยังมีปัญหาคล้ายๆ กันก็คือ...เวลาคนเราสิ้นชีวิต วิญญาณหลุดลอยออกจากร่าง จะไปเกิดใหม่ทันทีทันใดหรือไม่? ถ้าพูดถึงความเชื่อถือทางหลักพุทธศาสนาก็คือ เมื่อมนุษย์หมดลมหายใจ หรือเรียกง่ายๆ ว่า "ตาย" ก็ย่อมจะไป "เกิดใหม่" ทันที
ส่วนจะเกิดเป็นมนุษย์ เป็นเทวดา เป็นสัตว์เดรัจฉานหรือผีเปรต ก็สุดแท้แต่วิบากกรรมที่เคยกระทำไว้เมื่อครั้งยังมีชีวิต
ไม่ใช่ว่าตายแล้วจะกลายเป็นภูตผีปีศาจอย่างที่ชอบพูดกันจนติดปาก!
ยิ่งกว่านั้นยังมีปัญหาที่ถกเถียงกันไม่จบสิ้นว่า เมื่อใกล้จะตายมียมทูตมารับดวงวิญญาณจริงหรือไม่? เพื่อนำไปสู่แดนพิพากษาในปรโลก หรือกลายเป็นวิญญาณพเนจร ที่เรียกว่าสัมภเวสี หรือผีไม่มีศาล ต้องเที่ยวเร่ร่อนขอส่วนบุญเขาไปวันๆ
บ้างก็มีปัญหาว่า น้ำมะพร้าวที่ใช้ล้างหน้าศพเป็นครั้งสุดท้ายนั้น เพื่อให้หน้าตาของผู้ตายดูสะอาดสะอ้านยามที่ไปพบผู้เป็นใหญ่ในยมโลก หรือจะเป็นการลบล้างความทรงจำในชาติเดิมของตน ก่อนที่จะไปสู่ชาติใหม่ภพใหม่
เขตแดนของโลกมนุษย์กับปรโลกจะห่างไกล หรือใกล้ชิดกันปานใดหนอ?
หลังจากที่เคยมีปัญหาเร้ารุมให้อยากรู้อยากเห็นมาเนิ่นนาน ในที่สุดดิฉันก็ได้พบกับสิ่งเร้นลับนั้นด้วยตัวเอง เมื่อคุณยายเลื่อม-เพื่อนบ้านถึงแก่กรรมด้วยโรคชรา!
ท่านเป็นข้าราชการจนเกษียณ แล้วยังเป็นลูกจ้างพิเศษต่อมาอีกหลายปีจนสุขภาพทรุดโทรมไปตามอายุขัย ไหนจะมีโรคเบาหวานและลิ้นหัวใจเร้ารุม ระยะหลังๆ ต้องวนเวียนเข้าออกโรงพยาบาลหลายรอบเต็มที
ดิฉันไปเยี่ยมทุกครั้งที่คุณยายเลื่อมไปนอนโรงพยาบาล จนกระทั่งระยะหลังๆ ท่านไม่ยอมไปอีกแล้ว โดยยืนยันว่าจะขอตายที่บ้านเหมือนคู่ชีวิตที่ล่วงลับไปก่อนหน้านี้ราวสิบปี
คุณยายอยู่กับลูกชายและลูกสะใภ้ที่รักใคร่ คอยดูแลเหมือนเป็นลูกสาวแท้ๆ แต่นับว่าท่านก็ยิ่งเงียบ เชียบ นั่งรถเข็นออกจากห้องนอนมาหยุดที่ระเบียงหน้าบ้าน...จ้องมองไปยังความว่างเปล่าจนน่าใจหาย
"คนเราก็เท่านี้แหละนะ" คุณยายเลื่อมเคยบอกเมื่อดิฉันไปเยี่ยม "เกิด แก่ เจ็บตาย ไม่มีใครหนีพ้น ต่อให้เคยยิ่งใหญ่มาจากไหนก็เถอะ ลงท้ายก็ต้องการแค่ที่แคบๆ กว้างศอก-ยาววาให้เขาจับลงโลงไป...ยายเองก็ไม่รู้ว่าจะมีลมหายใจไปได้อีกกี่วัน"
ยอมรับว่าฟังแล้วใจหาย...หญิงชราดูผ่ายผอมเหมือนกับร่างกายหดเล็กลง ไม่มีปัญญาอะไรจะปลอบโยนคนที่จิตใจเข้มแข็ง ยิ้มรับมรณะที่กำลังคืบคลานเข้ามาหาอย่างเยือกเย็นโดยปราศจากความประหวั่นพรั่นพรึง!
คุณยายเลื่อมหันมาวางมือเหี่ยวแห้ง เย็นเฉียบลงบนหลังมือดิฉันอย่างแผ่วเบา
"หนูยังสาวยังสวย ยังมีเวลาใช้ชีวิตให้คุ้มค่า จำไว้ว่าคนเราควรจะมีความสุขกับชีวิตอย่างเต็มที่ ไม่มีอะไรมหัศจรรย์เท่าชีวิตอีกแล้ว...อย่าปล่อยให้เวลาผ่านไป แล้วต้องมาเสียดมเสียดายทีหลังว่ายังไม่ได้ทำไอ้นั่น น่าจะทำไอ้นี่...นึกได้ก็สายเกินไปเสียแล้ว"
คุณยายพูดช้าๆ เสียงแผ่วเบาลงทุกที
"ยายรู้สึกว่าชีวิตมันกำลังไหลออกจากตัวทุกวัน บางคืนแว่นเสียงมันกระซิบกระซาบว่า...ลาก่อนนะเพื่อนเก่า! ลาทีละ..." มุมปากเหี่ยวย่นเผยอยิ้มก่อนจะพึมพำ "เมื่อคืนนี้เอง ยายเห็นตัวเองลุกจากเตียงช้าๆ เดินไปที่ประตู แล้วหันมามองยายที่นอนนิ่งๆ เหมือนจะล่ำลา แล้วก็เดินผ่านประตูออกไป...ยายถือโอกาสลาหนูเสียเลย ขอให้อยู่ดีมีสุขนะแม่คุณ..."
เสียงแผ่วพร่าจนแทบไม่ได้ยิน ยกมือขึ้นกุมทรวงอก หลับตาพลางสูดลมหายใจยาว ดิฉันลุกพรวดพราดขึ้นแต่ท่านโบกมือโดยไม่ลืมตา...ไม่เป็นไร! เดี๋ยวก็หายแล้ว...
คืนต่อมา ดิฉันสะดุ้งตื่นเหมือนมีใครมาปลุก แต่สรรพสิ่งก็เงียบเชียบจนแว่วเสียงใบไม้เสียดส่ายกับสายลม...มีบางสิ่งบางอย่างดึงดูดใจให้ลุกไปที่หน้าต่าง แหวกม่านมองลงไปที่บ้านคุณยายเลื่อม...แล้วดิฉันก็ได้เห็นภาพนั้น...
คุณยายเดินออกจากประตูบ้านมาที่เฉลียง ...หันมาหาใครคนหนึ่งที่ยืนรอ ก่อนจะจับมือกันเดินช้าๆ ลงบันไดไปตามสนามหญ้าที่ขาวนวลด้วยแสงจันทร์...
ดูเหมือนคุณยายเลื่อมจะเงยหน้าขึ้นมองดิฉันยิ้มๆ คนที่เดินคลอคู่มาด้วยก็คือคุณตาที่ล่วงลับไปเมื่อราวสิบปีก่อนนั่นเอง...ถึงแม้จะไม่ได้หวาดกลัวภาพที่เห็นเลย แต่ก็ขนลุกค่ะ!