ผมเป็นคนสุรินทร์ครับ เข้ามาทำงานในกรุงเทพฯ เหมือนกับคนอื่นๆ อีกนับแสนนับล้าน ตอนแรกๆ ผมก็เหงาเอาเรื่องตามคนไกลบ้าน แต่ไม่นานนักพรหมลิขิตก็ขีดเขี่ยให้ผมได้เจอกับสาวน้อยแสนสวยคนหนึ่งชื่ออ้อย ผมเลยหายเหงาเป็นปลิดทิ้ง
แหม...แค่เชื่อก็หวานขนาดนี้แล้ว ยิ่งได้เธอมาเป็นหวานใจผมงี้หลงซะจนคิดว่า อ้อ! ที่เขาว่าความรักทำให้คนตาบอดมันเป็นอย่างนี้นี่เอง! เล่นเอาผมลืมคิดถึงบ้านไปเลย
แต่อ้อยซิครับ เวลาวันหยุด วันตรุษหรือเทศกาลเธอก็ชอบกลับบ้านนอกเป็นประจำ ไม่ใช่กลับเปล่า เธอยังชวนผมไปเที่ยวบ้านด้วย...บ้านอ้อยอยู่ใกล้ๆ หมู่บ้านผมนิดเดียว! แฮ่ะๆ บอกแล้วว่าคนเป็นเนื้อคู่กันก็ยังงี้แหละ ถ้าอยู่ที่บ้านก็คงไม่ได้เจอ นี่พรหมลิขิตเขียนให้เรามาพบกันที่กรุงเทพฯ
เมื่อเดือนห้าที่ผ่านมานี้ก็เช่นกัน เป็นอีกวาระโอกาสหนึ่งซึ่งอ้อยได้กลับบ้าน และเธอก็ชวนให้ผมไปบ้านเธอให้ได้เช่นเคย
คืนวันที่ผมไปบ้านอ้อยน่ะ บรรยากาศช่างเป็นใจเหลือเกินครับ พระจันทร์แจ่มจ้าเต็มดวงพอดี โรแมนติกซะนี่กระไร ผมชวนน้อยที่เป็นเพื่อนรักซ้อนมอเตอร์ไซค์ไปด้วยกันเพราะน้อยเองก็มีแฟนอยู่ใกล้ๆ นี้ ชื่อเต่า
พอถึงหมู่บ้านของอ้อย ผมกับน้อยก็แยกกันไปคนละทาง คือน้อยไปหาสาวเต่า ผมตรงดิ่งไปหาสาวอ้อย และน้อยก็ขอเอารถเครื่องไป ผมก็ เออ...เอาไปเถอะไม่เป็นไร ผมเดินไปได้แค่นี้เอง เวลากลับก็ใช้มือถือโทร.หากันละกัน จะได้นัดแนะให้เอารถมารับที่ปากทางเข้าหมู่บ้านตรงนี้ ว่าแล้วก็บึ่งรถไป หน้าบานเชียว
ผมเองก็กระหยิ่มยิ้มย่อง เดินทอดน่องสู่บ้านอ้อยตามหัวใจมันพาเดินไป...ทั้งๆ ที่ทางเข้าหมู่บ้านไปยังบ้านอ้อยจะเป็นถนนเล็กๆ สองข้างทางดูเปล่าเปลี่ยว แต่ผมไม่ยักกลัวแฮะ
ระหว่างทางมีต้นนุ่นใหญ่สูงทะมึน ลูกนุ่นห้อยระโยงระยางอยู่กลางแสงจันทร์ ผมมองว่ามันสวยน่ารักดีนะ ต้นไม้เนี่ย...ใจผมมันครึ้มครับ เดิมฮัมเพลงไปตลอดทาง
พอถึงบ้านสาวอ้อย ได้ไหว้พ่อแม่และทักทายพี่น้องเธอแล้ว เราก็มานั่งคุยกันที่แคร่หน้าบ้าน
เฮ้อ...คุยกันเหมือนไม่ได้เจอะเจอกันมานาน คนเรายามรักนี่ไม่รู้สรรหาอะไรมาพร่ำพลอดกันได้ไม่รู้เบื่อ เวลาก็ช่างผ่านไปเร็วไวซะเหลือเกินนะ เหลือบมองนาฬิกาอีกที เอ๊ะ! เกือบตีสอง...เร็วเกินไปหรือเปล่าเนี่ย?
พอดีได้ยินเสียงพ่อของอ้อยกระแอมกระไออยู่ที่หน้าต่างเหนือแคร่นั้น ผมก็เลยจำใจต้องลาจาก...เอ๊ย! ลากลับบ้าน อากาศเริ่มเย็น ผมโทร.มือถือไปบอกน้อยให้มารับที่ปากทาง น้อยบอกว่าไม่ต้องรีบนะ ยังไม่หายมันส์เลย...
อย่างไรก็ตาม ผมเกรงใจบ้านอ้อยเขาน่ะครับ เลยค่อยๆ เดินกลับท่ามกลางฟ้าสว่างด้วยจันทร์เพ็ญ ลมพัดโชยมาเอื่อยๆ...ผมเดินมาตามถนน ในใจไม่กลัวอะไรตามเคย เพราะมัวแต่คิดถึงคำหวานและตาหวานๆ ของสาวอ้อย
เอ๊ะ! กลิ่นอะไร ทะแม่งๆ
ผมทำจมูกฟุดๆ ฟิดๆ มันเป็นกลิ่นเหมือนปลาเค็มเน่าๆ ผสมผสานกับกลิ่นธูปเอียนๆ ขนเริ่มลุกละครับท่านผู้ชม...
ทันใดนั้น ไม่รู้อะไรดลใจให้เงยหน้าขึ้นไป ผมเพิ่งรู้ตัวว่ามาหยุดอยู่ที่ต้นนุ่นพอดี...คุณพระช่วย! บนกิ่งนุ่นนั่นมันตัวอะไรหว่า? กลิ่นฉุนรุนแรงจนผมต้องยกมือปิดจมูก กลั้นลมหายใจ...และแล้ว ภาพที่ปรากฏแก่สายตาก็ชัดขึ้นทันที
มันเป็นร่างของผู้หญิงยืนอยู่บนกิ่งนุ่น มือไม้กางเกร็งแบบแข็งๆ เขม้นมองจ้องกลับลงมา ผมหนาวเยือกเข้ากระดูกดำ มีบางสิ่งบางอย่างคล้ายลูกเห็บตกใส่ตัวผมด้วย
ผีหลอก!! ผมวิ่งแน่บไม่คิดชีวิต หลับหูหลับตาวิ่งเตลิดเปิดเปิงชนิดที่เรียกว่าแหกป่า...มารู้ตัวอีกทีตอนได้ยินเสียงน้อยเรียก ผมวิ่งมาถึงบ้านแฟนน้อยแน่ะครับ ไม่น่าเชื่อ!
น้อยถามว่าวิ่งหนีอะไรมา? ผมตัวสั่นปากสั่นบอกว่าโดนผีหลอก
สาวเต่าร้องหวีดแล้วซุกตัวเข้าหาเจ้าน้อย เธอว่าก่อนผมมาน่ะมีผู้หญิงผูกคอตายที่ต้นนุ่น เพิ่งเผาไปเมื่อสองวันก่อนนี่เอง!
เรื่องที่ผมถูกผีหลอก วิ่งหนีผมตั้งนี้ถูกเล่าแพร่สะพัดไปทั่วหมู่บ้าน ผมเลยพูดแก้เขินว่า นี่นะ...ถ้ารู้ว่าผีสาวละก็จะปล้ำซะให้เข็ดอยากหลอกดีนัก! แต่พูดก็พูดเถอะครับ คราวหน้าผมจะเดินไปบ้านอ้อยอีท่าไหนยังนึกไม่ออกเลยคุณ!