ไม่ว่าในหอพัก ห้องเช่า หรือห้องเล็กๆ ที่คับแคบเหมือนรูหนู เป็นที่เอนกายลงนอนพักจากความเหนื่อยล้าจากการกรำงานหนักมาตลอดทั้งวัน สรรพสิ่งมีแต่ความเปล่าเปลี่ยวน่าใจหาย....ยามค่ำคืนบางครั้งก็หลับไปทั้งน้ำตา!
ความโดดเดี่ยวอ้างว้าง หงอยเหงาและว้าเหว่จนชวนให้วังเวงใจ ยิ่งยามดึกด้วยแล้วก็เหมือนตกอยู่ในโลกนี้เพียงเดียวดาย...จะมีก็แต่ผู้ไร้ร่างกายเท่านั้นที่เป็นเพื่อนในยามราตรี!
คุณอาจจะมาต่างจังหวัด มาเรียนหนังสือ มาทำงานในกรุงเทพฯ แต่ไร้ญาติขาดมิตรจนต้องเช่าห้องพักอยู่คนเดียว มองดูคนอื่นที่เขามีบ้านอยู่ มีพ่อแม่ที่คอยเอาใจใส่ดูแล บ้างก็มีครอบครัวแสนสุข น่าอบอุ่นใจ ไม่ต้องอ้างว้างวังเวงน่าใจหายเหมือนพวกเราที่ต้องใช้ชีวิตอยู่เพียงลำพัง
ชีวิตที่ไม่มีใครไหนอื่น ไม่มีใครที่จะแบ่งปันความทุกข์สุข ยามผิดหวังล้มเหลวจนแทบใจสลาย ก็ต้องตะเกียกตะกายเหมือนนกปีกหัก ที่ซมซานกลับรังนอนอันเปล่าเปลี่ยว เยือกเย็นไปถึงชีวิตวิญญาณ!
เมื่อความทุกข์ทับถมจนทนไม่ไหว ความคับแค้นใจก็บีบคั้นให้ต้องหลั่งน้ำตา...อย่าหวังเลยว่าจะมีใครหน้าไหนมองเห็น ช่วยปลอบประโลมและเช็ดน้ำตาให้ จะมีก็แต่มือสั่นระริกของเรานั่นแหละค่ะที่ต้องยกขึ้นเช็ดน้ำตาให้ตัวเอง...
แม้แต่คนกรุงเทพฯ แท้ๆ ไม่ว่าหญิงหรือชาย หนุ่มสาวหรือแก่เฒ่าที่ต้องใช้ชีวิตแบบตัวคนเดียวอีกมากมาย ก็ต้องตกอยู่ในสภาพนกไร้รังเช่นกัน!
ไม่มีพ่อแม่ ญาติพี่น้อง หรือแม้แต่มิตรสหายสนิทสนมที่จะไปอาศัยพักพิง จำต้องเช่าห้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวน่าใจหาย ไม่ว่าจะเป็นห้องหับหรูหรา หรือซอมซ่อแค่ไหนก็ต้องจำทนใช้ชีวิตแบบซังกะตายไปวันๆ จนกว่าจะถึงวันนั้น...
วันที่เรากระเสือกกระสนสิ้นลมหายใจอยู่ผู้เดียว โดยไม่มีใครดูแล รักษาเยียวยา หรือแม้แต่คำปลอบประโลมให้ชื่นใจ...ต้องล้มตายไปโดยไม่มีผู้รู้เห็นหรือนำพาใดๆ โดยสิ้นเชิง!
...ไม่ผิดอะไรกับใบไม้แก่ที่ร่วงหล่นในป่าเปลี่ยว เงียบเชียบอยู่ในความโศกเศร้าวังเวง หรือไม่ก็เหมือนกับสายฝนพรมพรำอ้อยสร้อย สายลมที่พัดลู่ไปตามแมกไม้ใหญ่น้อยตามขุนเขา...ไม่มีค่าควรแก่ความสนใจไยดีของคนทั้งปวง
เกิดมาแล้วก็ตายไป...ตายไปในความเงียบเหงา เศร้าวังเวง อย่าว่าแต่ฆ้องกลองประโคมศพตามประเพณีที่ผู้อยู่หลังบำเพ็ญกุศลให้เลยค่ะ...ไม่มีแม้แต่ผู้รู้เห็น หรือเสียงร่ำไห้อาลัยอาวรณ์ ไม่มีแม้กระทั่งน้ำตาสักหยดเดียว
หากจะมีบ้าง นั่นก็คือน้ำตาของตัวเอง...
น้ำตาใสๆ ที่เกาะติดหางตา หรือไม่ก็ไหลย้อยอย่างเงียบเชียบเป็นการอำลาอาลัยให้แก่ชีวิตที่แสนอาภัพอัปภาคย์เสียนี่กระไร!
ยามค่ำคืนย่างกรายเข้ามาอย่างเงียบเชียบอีกแล้วซีหนอ...
ราตรีกาลอันเปล่าเปลี่ยว เยียบเย็นไปทุกขุมขน แผ่ซ่านเข้าไปถึงหัวใจเฉียบชาไม่ผิดกับก้อนน้ำแข็ง...สายลมวู่หวิวคร่ำครวญอยู่นอกหน้าต่าง เสียงเพลงจากวิทยุหรือทีวีเท่านั้นที่เป็นเพื่อน เสียงพูดคุยที่ดังมากระทบหู ภาพของผู้คนที่หัวเราะต่อกระซิกเริงร่าอยู่ในจอสี่เหลี่ยม บางครั้งก็ทำให้เราเหม่อมองเลื่อนลอย ไม่ได้ยินหรือไม่รู้เรื่องด้วยซ้ำว่าพวกเขาพูดคุยกันถึงสิ่งใด
แต่บางคราว เราก็พูดคุยกับเขาไปด้วย รู้สึกว่าคนพวกนั้นเป็นญาติสนิทมิตรสหายที่จะบอกเล่าเรื่องราวของเราเอง ปรับทุกข์ ระบายความอัดอั้นตันใจจากปัญหาต่างๆ โดยเฉพาะความเหงาเศร้าที่ถาโถมเข้าใส่ราวกับจะไม่มีวันสิ้นสุด...
สายลมกระซิบกระซาบอยู่ที่หน้าต่าง...นั่นมาทอดถอนใจยาวเหยียดอยู่ใกล้ๆ หู...หันไปมองดูก็ไม่เห็นใครเลยแม้แต่คนเดียว แต่เราแน่ใจว่ามีผู้ที่ปรากฏขึ้นในห้องอันเงียบเหงาเศร้าสร้อยและเยือกเย็นสิ้นดี
...ผู้ไม่มีร่างกาย!!
มาซี! มาเถอะ...มาเป็นเพื่อนกัน!
ช่วยบอกเล่าให้ฟังหน่อยได้ไหม เมื่อออกจากร่างไปสู่โลกหน้า ได้ประสบพบเห็นสิ่งใด สีแดงจ้าบาดตาหรือขาวโพลนกันแน่? แหละหรือว่าเป็นทุ่งหญ้าเขียวขจีกว้างขวางอยู่ใต้ท้องฟ้าสีคราม เมฆขาวที่ล่องลอยคล้ายเรือใบลำน้อยๆ ที่ร่อนเร่อยู่ในสายชลเวิ้งว้าง
มาเถอะนะ...มาเล่าเรื่องราวต่างๆ ที่ได้พบเห็นมาให้ฉันฟัง นอนบนเตียงเยือกเย็นด้วยกันก็ได้ ฉันจะหลับตาละนะ...แล้วจะคอยฟังสิ่งต่างๆล่วงหน้าก่อนที่ฉันจะเยือนเร็ววัน