ถึงแม้ว่าข้าพเจ้าจะพบเห็นเกี่ยวกับเรื่องราวของผีๆ สางๆ อยู่บ่อยครั้ง แต่ไม่เคยมีครั้งไหนจะชวนให้น่าสยดสยองพองขนเหมือนครั้งนี้มาก่อนเลย
เรื่องมีอยู่ว่า เพื่อนร่วมงานของพี่สาว ขอสมมติว่าชื่อแหม่มได้มาเที่ยวบ้านที่ อ.แม่ทา จ.ลำพูน พูดคุยกันเพลิดเพลินจนถึงประมาณ 3 ทุ่ม จึงได้ขี่มอเตอร์ ไซค์กลับบ้านซึ่งอยู่ห่างกันหลายกิโลเมตร...เป็นทางเปลี่ยวและค่อนข้างอันตรายอยู่ แต่พี่เขาบอกว่าไม่เป็นไร
เวลาประมาณ 3 ทุ่มครึ่ง พี่แหม่มโทร.หาพี่สาวข้าพเจ้า แต่ไม่ได้ยินเสียงเรียกเข้า พอพี่เขาดูแล้วก็บอกว่าเพื่อนคงจะกลับถึงบ้านแล้ว จึงโทร.กลับไปถามให้แน่ใจ...ที่ไหนได้ล่ะ มีเสียงตอบมาว่ายังไปไม่ถึงไหนเลย เกิดประสบอุบัติเหตุนิดหน่อยอยู่ใกล้ๆ นี่เอง
อารามเป็นห่วง เราเลยรีบพากันออกตามหา โดยไม่นึกเลยว่าพี่แหม่มจะไปรถแฉลบล้มตรงบริเวณที่เรียกกันว่า 'ผีเฮี้ยน'
แต่กว่าจะหากันพบเราต้องโทร.ถึงกันตลอดเวลา...พี่แหม่มดีใจมากที่เห็นหน้าพวกเรา บอกว่ายังไม่มีใครเห็นเลยแม้แต่คนเดียว คนที่ขับรถผ่านมาก็ไม่เห็น...ขับเลยไปหมดทุกคน!
ข้าพเจ้ากับพี่สาวมองหน้ากันอย่างงุนงง เพราะเราขับรถวนหาพี่แหม่มถึงสามรอบด้วยกัน...คือรอบแรกที่ผ่านตรงนั้น ข้าพเจ้าเป็นคนมองหา ส่วนผีสาวเป็นคนขับรถ ข้าพเจ้ามองเห็นพี่แหม่มเป็นกองผ้ากองหนึ่งเท่านั้น ครั้นบอกให้พี่สาวกลับรถและโทร.หาอีก พี่เขาก็บอกว่าเพื่อนนอนอยู่ข้างๆ ทางใกล้กับหลักกิโลเมตร
รอบที่สอง ข้าพเจ้าก็ให้พี่สาวขับต่อ ส่วนตัวเองมองหาอีกครั้ง ปรากฏว่าคราวนี้เห็นแต่หมวกกันน็อก ก็ยังขับเลยพี่แหม่มไปอีก ข้าพเจ้าเลยบอกพี่สาวให้กลับรถไปยังที่ที่เห็นหมวกกันน็อก ปรากฏว่าได้เจอพี่แหม่มในรอบที่สามนี้เอง!
พี่แหม่มนอนอยู่ข้างทางแท้ๆ แต่ไม่มีใครเห็นเลย คิดแล้วน่าประหลาดใจจริงๆ
เรื่องแบบนี้คนทางภาคเหนือเขาเรียกว่า 'ผีกุ๋ม' คือมันต้องการพวกเพิ่มจนบังตาไม่ให้เราหาเจอ บริเวณนั้นค่อนข้างมืดสลัว พี่สาวรีบเข้าไปประคองศีรษะเพื่อนแล้วเรียกให้ได้สติ พอดีมีรถมอเตอร์ไซค์อีกคันผ่านมา...
ตอนแรกเขาเลยไปแล้ว แต่แฟนเขาคงบอกให้จอดช่วยเพราะเห็นว่าเรามีแต่ผู้หญิงสามคนเท่านั้น...เมื่อเขาเลี้ยวรถกลับมา ข้าพเจ้าจึงให้เขาช่วยหันหน้ารถ เพื่อให้ไฟตรงรถของพี่สาวเพื่อเอาพี่แหม่มขึ้นมา หนุ่มสาวคู่นั้นบอกว่าจะไปบอกตำรวจให้นะ...แล้วพี่สาวก็พาเพื่อนไปส่งโรงพยาบาล ส่วนข้าพเจ้าก็เป็นหน่วยกล้าตายยืนเฝ้ารถให้พี่แหม่ม...
จนกระทั่งรถตำรวจมาถึง...คุณพระช่วย! ทั้งที่ข้าพเจ้าใส่เสื้อขาวและจูงรถไปรออยู่ตรงหน้าปั๊มลูกทุ่ง แถมโบกมือเรียกแต่ตำรวจกลับมองไม่เห็น เล่นเอาขนลุกเกรียว!
นี่มันเกิดอะไรขึ้นแน่? ยังดีที่เขาย้อนกลับมาอีกครั้ง คราวนี้มองเห็นและพาไปอยู่ที่ป้อมตำรวจ รอจนกระทั่งหลานชายมารับข้าพเจ้า
ครั้นกลับถึงบ้านก็ยังใจสั่นจนนอนไม่หลับ...นึกได้ว่าอารามตกใจรีบไปตามหาพี่แหม่ม ข้าพเจ้าและพี่สาวจึงไม่ได้ห้อยพระ...พอนึกได้ก็เลยลุกขึ้นหาพระมาห้อยคอ จิตใจสับสนวุ่นวายเพราะเป็นห่วงพวกพี่ๆ จึงตัดสินใจออกไปยืนรอที่หน้าบ้าน...
ทันใดนั้นเจ้าแต้ม-หมาแสนรู้ก็ปราดออกจากใต้ถุนไปยืนเห่าอะไรเบาๆ ก่อนจะเงียบเสียง ตัวแข็งทื่อ จ้องมองไปทางประตูรั้ว เล่นเอาเย็นวาบไปทั้งตัว! วิญญาณร้ายคงจะตามมาด้วยความโกรธแค้น ที่เราขัดขวางจนมันเอาพี่แหม่มไปอยู่ด้วยไม่สำเร็จ!
รุ่งขึ้นคือเช้าวันจันทร์ แฟนพี่เขาก็พาพ่ออุ๊ยแม่อุ๊ย (คนแก่เฒ่า) มาช้อนขวัญตามประเพณีทางเหนือ แล้วเลี้ยงเจ้าที่ ลาบ แกงอ่อม บุหรี่ ฯลฯ จิตใจของแต่ละคนจึงค่อยๆ ดีขึ้น...ข้าพเจ้าก็เลี้ยงผีที่หน้าบ้านด้วย...เชิญวิญญาณที่ตามมาให้กลับไปที่เดิม
เมื่อพี่แหม่มอาการทุเลาลงจึงถามว่า ทำไมเอารถไปตกตรงนั้น? พี่แหม่มบอกว่าจู่ๆ ไฟหน้ารถก็ดับเอง แล้วรถก็ไถลไปตามทางนั้น...จะลุกก็ลุกไม่ไหวจึงโทร.หาพี่สาวข้าพเจ้า
ตอนที่คุยกันครั้งแรก พี่สาวเปิดลำโพงปรากฏว่า มีเสียงแทรกเข้ามา...มีทั้งเสียงเด็ก, ผู้หญิง, หนุ่ม, แก่ มีหมด แต่พี่แหม่มบอกว่าไม่มีใครเลย แล้วมันเป็นเสียงใครล่ะถ้าไม่ใช่เสียงผี? เพราะเราแยกได้ว่าเป็นเสียงใครบ้าง แต่จับใจความไม่ได้ว่าเขาพูดอะไรกัน?
ที่แน่ๆ ก็คือ...มันไม่ใช่ภาษามนุษย์ค่ะ!
แต่ที่หาพี่เขาเจอเชื่อว่าเป็นเพราะข้าพเจ้าเกิดวันพฤหัสฯ พี่สาวเกิดวันอาทิตย์ รวมกันแล้วจึงแรงกว่าอำนาจผี ทำให้เราหาพี่แหม่มจนเจอ...
ตั้งแต่นั้นมาข้าพเจ้าไม่กล้าผ่านถนนสายนั้นอีกเลย สุดท้ายนี้ขอขอบพระคุณหลานชาย-หญิงคู่นั้นมากที่ช่วยเอารถขึ้น และไปช่วยบอกตำรวจให้...แต่ที่น่ากลัวมากๆ ก็คือ หากวันนั้นเราหาพี่แหม่มไม่เจอจะเป็น ยังไง? คิดแล้วขนหัวลุกค่ะ!