ดิฉันเห็นข่าวเจ้าหน้าที่ตำรวจประกาศแข็งกร้าว ว่าจะจัดการจับปรับแท็กซี่ที่ไม่ยอมรับผู้โดยสาร ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายนนี้เป็นต้นไป บอกตรงๆ ว่ารู้สึกเฉยมาก แถมยังสงสัยว่าตำรวจเพิ่งจะทราบจริงๆ หรือคะว่ามีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นในกรุงเทพฯ มาเป็นสิบๆ ปีแล้ว
สุขุมวิท สีลมใกล้ๆ กับพัฒนพงษ์ แถวถนนข้าวสารทั้งด้านวัดบวรฯ กับถนนสามเสน พันธุ์ทิพย์ ประตูน้ำ รัชดาฯ ตอนกลางคืน...บางแห่งซ้อนกัน 2-3 แถวก็มี เห็นคนไทยเดินเข้าไปหาถึงกับเมินหน้าหนีเอาดื้อๆ
ไม่ไป, ไม่รู้จัก, แก๊สใกล้หมด, ใกล้เกินไป, ไกลเกินไป ฯลฯ คือข้ออ้างที่พวกจ้องจะจับฝรั่งเพื่อขูดรีดเงินมากๆ โดยไม่แยแสว่าคนไทยด้วยกันต้องเดือดร้อน บ้านเมืองเสียชื่อเสียง การท่องเที่ยวได้รับความกระทบกระเทือนแค่ไหน
ตำรวจท้องที่ไม่รู้เรื่อง หรือแม้แต่ระแคะระคายอะไรเลยจริงๆ หรือคะเนี่ย?
ไม่ใช่คนขับแท็กซี่ดีๆ จะไม่มีนะคะ เชื่อว่ามากกว่าพวก 18 มงกุฎที่ปลอมตัวมาขับแท็กซี่ล่าเหยื่อเสียอีก บางคนเล่าให้ดิฉันฟังว่าไม่อยากผ่านไปแถวแก๊งอันธพาลมั่วสุมกันอยู่ ขนาดมีผู้โดยสารโบกมือเรียกแถวสีลมหรือมาบุญครอง ยังต้องจำใจไม่รับ เพราะรู้ดีว่าขืนแวะเข้าไปเป็นต้องมีเรื่องกับเจ้าถิ่นแน่นอน
อ้อ! ถ้าเราเรียกแท็กซี่แล้วไม่ยอมรับให้แจ้งไปเบอร์นั้นเบอร์นี้น่ะ แน่ใจว่าคิดดีแล้วหรือคะ? (ไม่อยากใช้คำถามว่าเอาอะไรคิด?) ในเมื่อมีรถว่างคันหลังแล่นตามมาติดๆ ไม่ว่าใครก็ต้องรีบโบกมือเรียกแทนการโทร.ไปแจ้งความทั้งนั้นแหละค่ะ
รู้ทั้งรู้ว่าถ้าจับได้จริงๆ จะพบคำตอบว่า ไม่เห็น, ต้องรีบส่งรถ, แก๊สจวนหมด ฯลฯ แล้วจะปรับทันทีได้ยังไงคะ? สงสัยจริงๆ งานนี้!
แต่ที่น่าแปลกใจสุดๆ ยิ่งกว่านั้นก็คือ ทั้งตำรวจและแท็กซี่ที่ออกมาให้สัมภาษณ์เรื่องนี้ไม่มีใครเอ่ยถึงเรื่องสำคัญแม้แต่คนเดียว...คือเรื่องแท็กซี่เปิดไฟ 'ว่าง' ไว้หาศาสตราวุธใดทำไมคะ?
เพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนเวลาของท่านผู้อ่าน ดิฉันขอเล่าถึงประสบการณ์ขนหัวลุกของตัวเองจากรถแท็กซี่สยองขวัญเสียเลยค่ะ!
คืนเกิดเหตุ ดิฉันไปงานแต่งงานของญาติที่ 'ชาเตรียมโฮเต็ล' อยู่ถนนเจริญกรุง ตรงข้ามกับแยกถนนจันทน์ ซึ่งถือว่าไกลมากจากบ้านดิฉันที่พัฒนาการ เขตสวนหลวง ข้อสำคัญต้องนั่งแท็กซี่ไปด้วย แต่ก็บอกตัวเองว่าขากลับคงไม่ดึกนัก เพราะงานเขาเริ่ม 18.30 น. เป็นการเลี้ยงแบบค็อกเทล ...ราวทุ่มครึ่งหรือไม่เกินสองทุ่มก็ขอตัวกลับได้แล้ว
คืนนั้นแขกมากมายแทบล้นห้อง กว่าจะหลบออกมาได้ก็เข้าไปสามทุ่มแล้ว ที่จริงก็ยังไม่ถือว่าดึกดื่นอะไรนะคะสำหรับกรุงเทพฯ ดิฉันได้แท็กซี่เขียวเหลืองเข้าไปนั่งเอนหลังที่เบาะหลังอย่างสบายใจ หลังจากยืนขาขดขาแข็งมาเสียนานนับชั่วโมง
ขณะที่กำลังจะปิดเปลือกตาพักผ่อน ก็รู้สึกว่ามีกลิ่นหอมเอียนๆ ลอยกรุ่นอยู่ในรถ...เอ๊ะ! กลิ่นอะไร? หรือจะเป็นยาสลบจากแท็กซี่โจร เพราะเคยได้ยินข่าวทำนองนี้มาแล้วค่ะ
รีบชันกายขึ้นนั่งตัวตรง...ใจหายนิดหน่อยที่ไม่ได้สังเกตกท.และชื่อสกุลของผู้ขับขี่ พอดีใบหน้าดำคล้ำ ผมกระเซิงก็หันมาหัวเราะหึๆ เหมือนจะรู้ทันความคิด
'กลัวหรือคุณ? ไม่ต้องกลัวหรอกน่า ทำใจให้สบาย ถึงคุณจะเป็นผู้หญิงสาวสวย มาขึ้นแท็กซี่คนเดียวกลางค่ำกลางคืนแบบนี้ก็เถอะ!'
เอ๊ะ! พูดอะไรชอบกล...ดิฉันอยากจะฝืนหัวเราะเหมือนไม่สนใจหรือหวั่นไหว แต่มีก้อนแข็งๆ มาจุกลำคอจนพูดอะไรไม่ออก รู้สึกร้อนๆ หนาวๆ ด้วยความหวาดระแวงอย่างบอกไม่ถูก พอดีเสียงพูดปนหัวเราะดังเสียดแทงใจขึ้นอีก
'สงสัยว่ามีกลิ่นอะไรในรถใช่มั้ย? แหม! เวลาไปงานศพเป็นต้องได้กลิ่นนี้อยู่แล้ว...'
'น้ำอบไทย...' ดิฉันหลุดปากคราง อากาศในรถหนาวเย็นจนขนลุกซ่า...นี่มันเกิดบ้าบอคอแตกอะไรกัน? โจรผู้ร้ายใจกลางเมืองแท้ๆ หรือไง ทั้งที่ยังไม่ถึงกับดึกดื่นค่อนคืนด้วยซ้ำ แต่ดิฉันอึดอัดจนแทบจะหายใจไม่ออกอยู่แล้ว 'จอด...จอดเถอะ ฉันจะลงที่นี่ล่ะ...'
'ยังไม่ถึงบ้านนี่นา จะลงแล้วเรอะ? เอ้า! ถ้าอยากจะลงจริงๆ ก็เชิญ...'
เสียงหัวเราะเย้ยหยันดังกึกก้องเต็มสองหู ดิฉันรู้สึกคล้ายมีมือที่มองไม่เห็นผลักร่างเต็มแรงจนกระเด็นลงมานอนเค้เก้อยู่บนลานกว้าง...เสียงฝีเท้าดังใกล้เข้ามา พร้อมกับเสียงร้องถามเซ็งแซ่
ปรากฏว่าดิฉันลงมากลิ้งอยู่ในปั๊มน้ำมันนั่นเอง...มองเห็นไฟท้ายรถอุบาทว์คันนั้นแล่นลิ่วสู่ถนนใหญ่รวดเร็วก่อนจะหายลับไป...
ดิฉันสาบานว่าต่อไปนี้จะไม่นั่งแท็กซี่ตอนกลางคืนอีกเลย...เข็ดจนตายแล้วค่ะ!