สมัยเด็กดิฉันอยู่ขามทะเลสอ โคราช ตอนนั้นมีแต่ทุ่งนาลิบๆ รอบหมู่บ้านที่อยู่ติดๆ กัน ทางแยกจากถนนใหญ่ค่อนข้างคับแคบ มีรถสองแถวจากจังหวัดเข้าออกเป็นประจำ
ในหมู่บ้านมีถนนแดงวกวน เสียงหมาเห่า เสียงไก่ร้อง ดูๆ ก็คึกคักดีในตอนกลางวัน แต่ตกกลางคืนช่างเปล่าเปลี่ยวเยือกเย็นจับใจ
ดงตาลกลางทุ่งเขาร่ำลือว่ามีผีดุนักหนา! ตอนเย็นที่ฟ้าแดงฉานเหมือนละเลงไว้ด้วยเลือดสดๆ ลมพายุพัดแรงจนเห็นต้นตาลโอนเอนไปมา ใบตาลโบกสะบัดซู่ซ่า ดูแล้วคล้ายอสุรกายกำลังโยกร่างของมัน พลางหัวเราะเย้ยหยันเกรียวกราว...บางคนบอกว่าเคยเห็นหน้าผีใหญ่เท่ากระด้งกำลังแยกเขี้ยว นัยน์ตาถลน จ้องมองอย่างดุร้ายกระหายเลือดด้วยค่ะ!
ตอนเย็นๆ พวกเราจะนั่งล้อมวงกินข้าวกันที่ร้านชั้นล่าง ใกล้กับบันไดขึ้นชั้นบน ที่นั่นราดซีเมนต์ไว้โล่งๆ ด้านหลังคือครัวกับห้องน้ำ ถัดออกไปเป็นสวนครัว บ่อน้ำ ป่าละเมาะ และทุ่งนา
เกือบทุกบ้านมีรั้วไม้ระแนง ปลูกกล้วย อ้อย มะม่วง มะพร้าว ไว้หน้าบ้านคล้ายๆ กัน
ตกค่ำพ่อแม่จะเรียกลูกๆ ขึ้นบ้าน ปิดบันไดแน่นหนาเพื่อความปลอดภัย...เขาว่าสมัยก่อนถึงกับชักบันไดขึ้นเลย ป้องกันขโมยขโจรและสัตว์ร้ายไม่ให้บุกรุกขึ้นบ้านได้ง่ายๆ
ตกกลางคืนห้ามพูดถึงเรื่องผีเด็ดขาด!
คนที่เจ็บหนักใกล้ตาย พวกญาติๆ จะพูดกันว่าขอให้ตายตอนกลางคืนจะได้ขึ้นสวรรค์ ถ้าตายตอนกลางวันจะตกนรก แถมเป็นสาเหตุทำให้ผีดุด้วยค่ะ
แถวนั้นเชื่อเรื่องผีปอบมาก ถ้าใครตายโดยไม่ทราบสาเหตุแน่ชัดก็จะว่าโดนปอบกิน!
ดิฉันเคยได้ยินเขาซุบซิบกันว่าคนนั้นคนนี้เป็นปอบ แต่ไม่เคยจับได้จริงๆ จังๆ สักครั้งเดียว เพราะไม่มีหลักฐานกับไม่มีใครตายอีก เรื่องน่ากลัวที่พูดกันก็เงียบหายไปเอง
หมอป่านเคยถูกสงสัยมากที่สุดว่าแกเป็นปอบ หรือไม่ก็เลี้ยงปอบไว้กินตับ กับทำร้ายชาวบ้านที่แกไม่ชอบหน้า!
หมอป่านอายุห้าสิบเศษ ร่างผอมสูง ผิวดำ ตาดุ ผมขาวโพลน เขาว่าแกมีวิชาอาคมจากอาจารย์เขมร ทั้งเลี้ยงผีและทำคุณไสยต่างๆ เช่น เสกตะปู กระดูกผี หรือหนังควายเข้าท้องศัตรูได้...ตอนดึกๆ มีคนเคยได้ยินเสียงภูตผีกู่ร้องโหยหวนมาจากบ้านเก่าๆ ที่ท้ายหมู่บ้านเป็นประจำ
พวกหนุ่มๆ ชอบไปขอของดีเช่น น้ำมันพราย รวมทั้งมนต์เสน่ห์ต่างๆ มาใช้ แต่พวกผู้ใหญ่ไม่ค่อยชอบหน้าแก...ลือกันว่า เมื่อแม่แกตายหมอป่านก็ฝังศพไว้ใต้ต้นตะเคียนริมรั้วบ้านแกนั่นแหละค่ะ...กลายเป็นปอบเฒ่าที่หิวโหยเครื่องเซ่น คือเลือดเนื้อของมนุษย์ เพราะหลังจากนั้นไม่นานก็มีคนในหมู่บ้านเกิดอุบัติเหตุตายโหงบ่อยๆ
โดนรถชนตายก็มี ถูกงูกัดตายก็มี เด็กขี่จักรยานพุ่งชนรั้วคอหักตายคาที่ก็มี จนชาวบ้านชักจะเอะใจกันเป็นแถว
ล่าสุดน้าไหมท้องแก่ราว 7-8 เดือน ยืนสอยมะม่วงที่หน้าต่าง จู่ๆ ก็มีลมกระโชกวูบ ไม้หักโครมพุ่งเข้าเสียบยอดอกทะลุหลัง ชาวบ้านได้ยินเสียงน้านาย-ผัวแกร้องโวยวายก็วิ่งไปดู เห็นแต่ภาพหวาดเสียวของน้าไหมดิ้นทุรนทุราย นัยน์ตาเหลือกลาน เลือดไหลนองเต็มพื้นเรือน!
หลังจากหมอมาชันสูตรศพแล้ว พวกญาติก็นำไปบำเพ็ญกุศลที่วัดก่อนจะฝังศพที่ป่าช้า ทั้งๆ ที่เขาห้ามฝังศพหลุมเดียวกัน เพราะจะทำให้วิญญาณเฮี้ยนมาก แต่สำหรับน้าไหมคงจะถือว่าตายทั้งกลม หรือสาเหตุอะไรก็ไม่ทราบแน่ชัด เขากลับฝังไว้ในหลุมเดียวกันเฉยเลย
หมอป่านเก็บตัวเงียบ คงจะรู้ตัวดีว่าใครๆ ก็เพ่งไปที่แกเป็นจุดเดียวกัน...แต่วิญญาณน้าไหมกลับขึ้นจากหลุมไปที่บ้านของแก!!
ตกค่ำ ชาวบ้านดับไฟขึ้นนอนกันเกือบหมดแล้ว มีเสียงลมพัดคร่ำครวญวู่หวิว ฟังคล้ายเสียงร่ำไห้สะอึกสะอื้นมาจากป่าช้า หมูหมาก็เห่าเสียงขรมก่อนจะโก่งคอหอนโหยหวนเยือกเย็นจับใจ...หอนรับกันเป็นทอดๆ ผ่านบ้านอื่นๆ มาหยุดลงตรงหน้าบ้านน้าไหมนั่นเอง
ไม่มีใครกล้าโผล่หน้าไปดู นอกจากจะนอนเหงื่อหยดเผาะๆ กันทั้งนั้น แว่วเสียงร้องของน้านายดังขึ้นว่า...ไปที่ชอบๆ เถอะไหมเอ๊ย แล้วข้าจะทำบุญกรวดน้ำไปให้!
มีเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นดังมาจากสายลม เสียงหมาครวญครางงื้ดง้าด ก่อนจะเห่าหอนรับกันกลับทางเดิม จนกระทั่งเงียบหายไป
คนที่กลับจากไร่นาตอนเย็นๆ เห็นน้าไหมอุ้มลูกยืนมองมาที่ข้างทาง เล่นเอาร้องลั่นทุ่ง วิ่งอ้าวไม่คิดชีวิตมาหลายรายแล้ว กระทั่งคืนหนึ่งได้ข่าวว่าน้าไหมอุ้มลูกบุกเข้าไปในบ้านหมอป่าน ลูกสาวคนเล็กร้องกรี๊ดๆ เล่นเอาหมอผีกับลูกเมียต้องเผ่นกระเจิงออกมานอกบ้าน
วันรุ่งขึ้น หมอป่านก็พาลูกสาวที่เจ็บหนัก พร่ำเพ้อไม่ได้สติไปรักษาในจังหวัด ไม่ช้าก็ได้ข่าวว่าเสียชีวิตที่นั่น หมอผีกับเมียเหมารถมาขนของย้ายบ้าน...หายสาบสูญไป เลยค่ะ!