ผีด้ายแดง
อาชีพนางพยาบาลที่ดิฉันทำมาเป็นเวลากว่า 8 ปีนั้น ทำให้ดิฉันต้องคลุกคลีอยู่กับผู้บาดเจ็บมากจนนับครั้งไม่ถูก (อยู่แผนกศัลยกรรม) มันทำให้รู้สึกชาชินจนเห็นเป็นเรื่องธรรมดา ดิฉันยังเป็นโสดอยู่จึงไม่มีพันธะใ
ส่วนดิฉันพึ่งย้ายมาประจำที่โรงพยาบาลประจำจังหวัดแห่งหนึ่ง ทางภาคตะวันออกพร้อมกับเปลี่ยนหน้าที่มาอยู่แผนกศัลยกรรม ดิฉันมาพักอยู่กับพี่ชายคนรอง ซึ่งเป็นรองผู้กำกับการ สภ.อ.เมืองอยู่ที่นี่ ในตอนเช้าดิฉันก็ขับรถเก๋งส่วนตัวไปทำงานเอง เรื่องอาหารการกิน หากินเองเป็นส่วนใหญ่ เพราะไม่อยากรบกวนพี่สะใภ้มากนัก
แม้ว่าเพิ่งจะมาอยู่ที่นี่ได้ยังไม่ถึงครึ่งปีก็ตาม ดิฉันก็ได้เห็นความเป็นอยู่ของที่นี่เกือบทั่ว
เพราะดิฉันปฏิบัติตัวเป็นกันเองกับทุกคน แม้กระทั่งคนงานหญิงของโรงพยาบาลก็ถือเสมือนญาติคนหนึ่ง เพราะเราทำงานร่วมกัน มีศักดิ์ศรีในความเป็นผู้หญิงเหมือนกัน ส่วนตำแหน่งหน้าที่นั้นเป็นเพียงสมมุติขึ้นมาเท่านั้น หน้าที่ก็คือหน้าที่ ส่วนตัวก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งย่างเข้าเดือนที่ 6 วันหนึ่งได้รับโทรศัพท์จากพี่ชายคนโตว่า คุณพ่อเสียชีวิตแล้วด้วยโรคหัวใจล้มเหลว
ดิฉันจึงขอลาพักร้อน เพื่อเดินทางไปงานศพคุณพ่อที่กรุงเทพ เมื่องานศพเสร็จสิ้น ก็กลับมาทำงานตามปกติ ทำงานได้ 4 วันก็ได้รับข่าวไม่ดีอีกว่า แววตา พยาบาลรุ่นน้องไม่สบายด้วยโรคมดลูกพิการ ต้องทำการผ่าตัดทันทีปกติแววตาจะสนิทกับดิฉันมาก สามีเธอทำงานที่ศาลากลาง เธอมีลูก 3 คน ซึ่งยังเป็นเด็กอยู่ ถ้าเธอผ่าตัดเอามดลูกออกก็คงจะมีบุตรไม่ได้อีกต่อไป แววตามานอนพักอยู่ที่ห้องพิเศษ ชั้น 5 ของโรงพยาบาล เพื่อรอคอยการผ่าตัดในอีก 2 วันข้างหน้า ดิฉันว่างจากเวรก็จะไปเยี่ยม และพูดคุยกับเธอเป็นประจำ โดยมากเธอจะพูดเรื่องห่วงลูก เพราะสามีเธอชอบดื่มสุรา
ดิฉันมาทราบอีกว่าเธอเป็นโรคหัวใจด้วย ในวันรุ่งขึ้นหมอก็จะทำการผ่าตัดมดลูกให้เธอแล้ว
ตอนกลางคืนดิฉันก็ลงไปเยี่ยมเธอตามปกติ ดิฉันแปลกใจมากที่มองเห็นหน้าเธอเป็นใบหน้าที่อิดโรยและซึด ดวงตาทั้งสองข้างบวมมีน้ำตาคลอเบ้า เธอยิ้มแห้ง ๆ ให้ดิฉัน และพูดเหมือนไม่ได้ตั้งใจว่าสวัสดีค่ะคุณพี่ชุลี คืนนี้เป็นคืนสุดท้ายแล้วนะพี่ ที่เราจะได้คุยกัน เพราะพรุ่งนี้ตาอาจจะไม่มีโอกาสได้คุยกับพี่ อาจจะอักเสบบาดแผล หรืออาจจะจากโลกนี้ไปเลยก็ได้
แนะดูแววตาพูดสิ พูดออกมาทำไมมันไม่เป็นการดีนะ น้องมีเรื่องขุ่นข้องใจอะไรก็ปรึกษาพี่ได้ตลอดเวลา ดูหน้าเธอไม่สบายเลยมีอะไรเหรอจ๊ะ
เมื่อเย็นนี้คุณแม่ของเธอพาลูก ๆ มาเยี่ยม ลูกคนโต (อายุ 12 ขวบ) ได้บอกกับเธอว่า พ่อไปงานเลี้ยงกลับมาบ้านพร้อมด้วย น้าดาวใจ พ่อเมาจะตีลูก ที่ได้ตามใจน้าดาวใจ เพราะเขาให้ไปเล่นนอกบ้าน
สำหรับดาวใจเธอเป็นแม่ม่าย และเป็นคนรักเก่าของสามีเธอ และเธอรู้ดีว่าคนทั้งสองกำลังสวมเขาให้ สิ่งนี้แหละที่เธอเป็นห่วงลูกมาก หากเธอเป็นอะไรไป ลูก ๆ จะอยู่อย่างไร อยู่กับแม่เลี้ยงที่เอาแต่ใจตัวเองนั้นหรือ เธอพูดไปน้ำตาก็ไหลออกมา ซึ่งดิฉันก็พยายามพูดปลอบใจ เพราะพรุ่งนี้ก็จะต้องผ่าตัดแล้ว
แล้วเรื่องกระทันหันก็เกิดขึ้น เพราะในตอนสาย ๆ ของวันรุ่งขึ้นดิฉันได้รับคำสั่งด่วนให้เดินทางเข้ากรุงเทพ ฯ
พร้อมเพื่อพยาบาลอีก 3 คน เพื่อไปอบรมรับแนวการปฐมพยาบาลแบบใหม่ ณ โรงพยาบาลศิริราช มีกำหนด 15 วัน วันนี้แววตาผ่าตัด แต่พรุ่งนี้ดิฉันต้องเดินทางไปกรุงเทพ ฯ ด่วน ดิฉันจึงไม่มีเวลาที่จะบอกแววตาเลย เพราะต้องเตรียมตัว และจัดทำเรื่องต่าง ๆ ในการเดินทางในระหว่างการอบรมนั้น มีพยาบาลทุกจังหวัดเข้ามาร่วมด้วย ดิฉันได้รู้จักและได้รับความรู้ จากการบอกเล่าของเพื่อพยาบาลมากทีเดียว โดยเฉพาะเรื่องที่พวกเธอถูกผีหลอก ซึ่งอาจจะเป็นของธรรมดาอยู่แล้ว เพราะพยาบาลจะต้องเข้าเวรทั้งกลางวันและกลางคืน ถึงแม้จะมีความกลัว แต่ก็ต้องทำตัวว่าไม่กลัวเอาไว้ ยิ่งอยู่เวรกลางคืนด้วยแล้ว ดิฉันเตรียมพร้อมเสมอ ไม่มีหน้าที่จำเป็นจะไม่เดินออกจากห้องเวรไปไหนเลย
มีเพื่อนพยาบาลคนหนึ่งจากทางภาคเหนือ เธอเล่าว่า ก่อนที่เธอจะมาอบรม ขณะนั้นเธอเข้าเวรกลางคืน
ซึ่งก็เพิ่งจะ 22.20 น. เท่านั้น แต่ตอนนั้นในโรงพยาบาลก็เงียบแล้ว เธอเข้าเวรอยู่ชั้น 4 แต่มีธุระต้องลงไปชั้นหนึ่ง เธอจึงลงลิฟท์มาคนเดียว พอมาถึงชึ้น 2 ลิฟท์หยุดรับคนอีก 3 คน ซึ่งเธอมองดูแล้วก็รู้ว่าเป็นคนป่วยเพราะทุกคนแต่งชุดผู้ป่วย เป็นหญิง 1 ชาย 2 ทุกคนเคลื่อนร่างเข้ามาในลิฟท์โดยไม่มีเสียงพูดกัน ต่างเข้ายืนตรงก้มหน้าชิดผนังลิฟท์ เธอต้องกดสวิทปิดและเคลื่อนลงสู่ขึ้นชึ้นหนึ่ง เธอเองยืนหันข้างให้ทั้ง 3 แต่ก็แอบลอบมองแว๊บหนึ่ง เธอต้องสะดุ้งเฮือก เมื่อมองเห็นว่า คนทั้ง 3 ที่เข้าในลิฟท์นี้ มีด้ายสีแดงผูกอยู่ที่ข้อมือทุกคน พอดีลิฟท์ถึงพื้นล่างประตูเปิดออก เธอรีบก้าวพรวดออกมาอย่างเร็ว โอ้ นอกลิฟท์นั้นมีแต่ความว่างเปล่า
เธอออกมาจากลิฟท์ได้ราย 6-7 ก้าว จึงชำเลืองไปที่ประตูลิฟท์แว๊บหนึ่งซึ่งยังเปิดอยู่แต่ คุณพระช่าวย. ในลิฟท์และนอกลิฟท์นั้น ไม่ปรากฏว่ามีผู้ใดเลย เธอรีบก้าวเดินโดยสายตายังมองไปที่ลิฟท์ ทันใด แค็ก แค็ก แค็ก มีไอสวนทางมา เธอสะดุ้งเหลียวหน้ากลับมามองเอ๊ะชาย 2 คน เดินสวนเธอไปที่ลิฟท์มาได้ยังไงล่ะ ก็พื้นที่นอกลิฟท์มันโล่งไปไกลนี่นา แต่..ที่ทำให้เธอเสียววูบก็ตรงที่ ชาย 2 คนนั้นมีด้ายสีแดงผูกข้อมือด้วย บรื๋ออออออ เฮี้ยนจริง ๆ
ดิฉันฟังเพื่อนพยาบาลเล่าแล้ว ก็เชื่อบ้างไม่เชื่อบ้าง ที่เชื่อเพราะมีเหตุผลน่าเชื่อได้ แต่ที่ไม่เชื่อเพราะตัวเองยังไม่เคยเจอนั่นแหละ
และก็มาคิดได้ว่า โรงพยาบาลที่ดิฉันประจำอยู่ก็มีห้องดับจิตตั้งอยู่ใกล้กันเสียด้วย ฮึ..คงไม่เป็นไรน่า ชุลี ซะอย่างการอบรมสิ้นสุดลง ต่างคนก็แยกย้ายกันกลับภูมิลำเนาของตน ดิฉันกับเพื่อนอีก 3 คน ก็เดินทางกลับ จังหวัดที่ตัวเองอยู่ วันแรกมาถึงก็ต้องรีบเขียนบันทึกรายงานการอบรมให้ผู้อำนวยการโรงพยาบาลทราบ วันรุ่งขึ้นส่งรายงานขึ้นเสนอ แล้วทำธุระส่วนตัวเกือบทั้งวัน
วันที่ 3 นั่นแหละจึงปฏิบัติงานตามปกติ และก็โดนเวรกลางคืนด้วย คืนนี้ดิฉันรู่สึกว่าชอบกล
พาลให้หงุดหงิดเอาด้วย ดิฉันเข้าเวรคู่กับ คุณประภา เราเข้าเวรตอนดึกถึงสว่าง ดิฉันไม่ค่อยง่วงจึงให้คุณประภานอนพักก่อน ส่วนตัวเองก็ฆ่าเวลาด้วยการรื้อฟื้นเรื่องการไปอบรมมาแล้ว แว๊บหนึ่งของความคิด มันไปสะดุดกึกตรงที่เพื่อนพยาบาลเล่าเรื่องผีนั่นเอง.?ดิฉันต้องเงยหน้ามองออกไปทั่วบริเวณหน้าห้องพัก เอทำไมคืนนี้จึงเงียบเชียบอย่างนี้
จิตใจมันชักจะเรรวนเสียแล้ว หันกลับไปมองคุณประภาที่นอนอยู่ เธอกำลังหลับสบายเชียว ลมเย็นพัดโชยผ่านเข้ามา ดิฉันขนลุกซู่ขึ้นมาเฉย ๆ รีบห่อร่างลงนั่งตัวลีบ กลิ่นไอของความกลัวมันเริ่มเข้ามาขับอยู่จิตใจเสียแล้วหยิบวารสารที่วางอยู่บนโต๊ะมาเปิดอ่าน แต่ใจคิดไปเรื่องผี ๆ เสียหมด สายตาคอยชำเลืองออกไปภายนอกเสมอ ๆ เวลาผ่านไปด้วยใจที่เต้นระทึก และมันก็ค่อย ๆ สงบลงบ้าง เมื่อความง่วงคืบคลานเข้ามาหา
จนดิฉันมองตัวหนังสือลายพร่าไปหมด ทันใด.! หูก็แว่วเสียงเหมือนคนเดินมาที่หน้าเคาน์เตอร์ แซ่บ แซ่บ แซ่บ ดิฉันค่อย ๆ ชำเลืองสายตาขึ้นไปมองก่อน (ยังไม่เงยหน้า) เพราะกลัวว่าจะเจอภาพไม่ดีเข้า เอ๊ะ? นั่นร่างของนางพยาบาลคนหนึ่ง กำลังเดินตรงเข้ามาที่เคาน์เตอร์ พอเข้ามาได้ระยะยแสงสว่าง
อ้าวน้องแววตาหรอกหรือทำไมมาดึก ๆ ยังงี้ล่ะ อากการป่วยหายแล้วหรือจ๊ะ
สวัสดีจ๊ะ พี่ชุลี แหมมม ไปอบรมที่กรุงเทพฯ ก็ไม่บอกตาบ้าง เหงาจังเลย ตามาแทนเวร ดารณี ที่ขึ้น 2 จ๊ะ ได้ข่าวว่าพี่ชุลีกลับมาจึงแวะมาหาสนุกไหมพี่ที่กรุงเทพฯ
สนุกอะไรกันทำให้มีเรื่องที่ต้องมานั่งขนลุกอยู่นี่ไง ดิฉันเรียกให้แววตาเข้าไปนั่งคุยกัน แต่เธอปฏิเสธบอกว่าต้องรีบไปเข้าเวร
ดิฉันจึงต้องยืนคุยกับเธอ โดยมีเคาน์เตอร์กั้นไว้ ดิฉันถามถึงอาการผ่ามดลูกของเธอ เธอบอกว่าดีขึ้นมากแล้ว แต่มองดูใบหน้าเธอยังซูบซึดอยู่มากดวงตายังลอย ๆ อยู่ประมาณ 10 นาที ที่เรา 2 คนคุยกัน เสียงคุยในยามดึกยังงี้ มันดังก้องเสียด้วย ทำเอาคุณประภาที่กำลังพลิกร่างหันกลับมามองดิฉันถามว่า
คุณชุลีคุยอยู่กับใครจ๊ะ
ดิฉันรีบตอบเธอไปทันที
คุยอยู่กับน้องแววตาจ๊ะ
ทันใด คุณประภาเธอรีบลุกพรวดพราดขึ้นมานั่ง ทำเอาดิฉันตกใจไปด้วย ดิฉันหันมายิ้มให้แววตา อ้าว เธอเดินห่างออกไปจากเคาน์เตอร์ราว 2 วา แล้ว ดิฉันเรียกชื่อเธอ
แต่สายตาดิฉันมันตวัดวูบลงไปที่ข้อมือเธอ โอ๊ะนั่น เธอผูกด้ายสีแดงด้วยเหรอ ร่างดิฉันเหมือนถูกไฟฟ้าช็อต เข่าอ่อนยวบลงไปนั่งบนม้าพอดี น้องแววตาเธอเดินเนิบ ๆ เหมือนลอยตรงไปทางบันไดลง เธอไม่หันมามองดิฉันเลย มันอะไรกันแน่.คุณชุลีเป็นอะไรหรือเปล่า ไหนจ๊ะแววตาไม่เห็นมีใครเลยสักคนนึง เธอจะมาได้ยังไงกัน ก็เธอตายตั้งแต่เมื่อเย็นวานนี้แล้ว ตอนนี้ศพเธอยังอยู่ในห้องดับจิตนั่นเลย
ดิฉันมีความรู้สึกเหมือนกับพื้นห้องมันโคลงเคลง แล้วหมุนเร็วขึ้น ๆ และไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น มารู้ตัวอีกครั้ง
ก็ตอนมีเสียงคนเรียกชื่อ และเขย่าแขนดิฉันค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมอง เอ๊ะ..น้องแววตา เธอมานั่งเรียกดิฉันอยู่ขอบเตียง ดิฉันขนลุกซู่เย็นวาบถึงศีรษะ รวบรวมกำลังที่มีอยู่ พลิกตัวเองหนีออกมาอย่างเร็ว พลัน..ตุ๊บ นั่นคือเสียงที่ดิฉันตกมาจากเตียงนอนลงไปที่พื้นห้องโอ๊ะ คุณชุชี ชุลี.. นี่ประภานะจ๊ะไม่ต้องกลัวอะไรแล้ว
ดิฉันรู้สึกจุกเล็กน้อย แต่ก็ได้ยินเสียงคุณประภาร้องบอกจึงค่อย ๆ หรี่ตาขึ้นมอง โอ้..ใช่แน่นี่คุณประภาเวรคู่เรานี่นา ครั้งแรกมองเหมือนน้องแววตา (เพราะใส่ชุดพยาบาลเหมือนกัน)
คุณประภาบอกว่าดิฉันเป็นลมสลบไปพักหนึ่ง ขณะนี้ก็ใกล้สว่างแล้ว เธอให้ดิฉันนอนพักเสียก่อน โธ่ใครจะนอนหลับลงได้ ดิฉันจึงอยู่คุยกับประภาจนรุ่งสาง พอมีแสงสว่างของกลางวันดิฉันขึงรีบลงไปหาซื้ออาหารถุงทั้งคาวหวาน ใส่บาตรพระสงฆ์ 9 รูป แล้วกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลไปให้น้องแววตา เมื่อออกเวรและไม่ลืมที่จะชวนคุณประภาไปด้วย
แหล่งที่มา : หนังสือ โลกลี้ลับ ปีที่ ๒๐
เครดิต :
ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!