เปรตวัด


เปรตวัด

เรื่องที่ผมจะเล่าต่อไปนี้เป็นเรื่องจริง ที่ผมกับเพื่อนได้ประสบมาเป็นครั้งแรกในชีวิต

คือ เมื่อต้นปี พ.ศ. ๒๕๒๙ ผมเป็นคนจังหวัดพิจิตร แต่มาทำงานก่อสร้างที่จังหวัดพิษณุโลก ผมทำงานได้ค่าจ้างวันละ ๕๐ ๖๐ บาท เหตุที่ผมเลือกมาทำงานที่นี่ เพราะจังหวัดพิษณุโลกกำลังเจริญ และมีงานมาก สำหรับคนว่างงานอย่างผม

ผมมีเพื่อนอยู่ ๒ คน คนแรกชื่อ ยุทธ คนที่สองชื่อ คำ ทั้งสองคนเป็นเพื่อนที่ดีต่อผมมาก แต่เสียอย่างเดียวคือ พวกเขาชอบกินเหล้า เรียกว่ากินแทนข้าวกันเลยทีเดียวแหละ ผมมาทำงานก่อสร้างที่นี่ได้เดือนกว่า ๆ ผมก็มีปัญหากับนายจ้าง นายจ้างผมคนนี้เขาชื่อ ห่าม เป็นคนหน้าเลือด ขี้เหนียว ไม่ค่อยจ่ายเงินค่าแรงให้กับคนงานอย่างพวกผมเลย ทั้ง ๆ ที่เขาก็ได้แรงงานจากพวกผมไปแล้ว



ถึงแม้นายจ้างจะทำกับพวกผมอย่างไร พวกผมก็ต้องทนทำต่อไป เพราะคนที่จบชั้นประถมสี่

อย่างผมจะไปเลือกงานอะไรได้ นอกจากงานแบกหิน แบกทราย เท่านั้นแหละครับ

ผมมาเช่าบ้านหลังหนึ่งอยู่กับเพื่อนสองคน คือ ไอ้ยุทธ กับ ไอ้คำ บ้านหลังนี้อยู่ห่างจากตัวเมืองไม่มากนัก และค่าเช่าบ้านก็ไม่แพงจนเกินไป เดือนละ ๗๐๐ บาท แต่ถึงกระนั้น พอถึงวันสิ้นเดือน เงินของพวกเราก็ยังไม่พอใช้อยู่ดี



ตอนเย็นวันหนึ่ง ไอ้ยุทธ ก็คิดหารายได้มาต่อไส้ของมัน แล้วถามผมว่า



เฮ้ย......ไอ้มาตร....มึงจะไปกับพวกกูหรือเปล่า...? ผมถามว่า มึงสองคนจะไปไหนกันวะ ไอ้ยุทธตอบว่า พวกกูจะไปหาเงินใช้หน่อยว่ะ จะไปกับพวกกมั้ย

แล้วพวกมันก็อธิบายวิธีหาเงินให้ผมฟังอย่างละเอียด อุปกรณ์ของพวกมันก็คือ จอบ เสียม ชะแลง อุปกรณ์ในการขุดทุกชนิด เป้าหมายของพวกผมก็คือ วัด โดยพวกมันบอกว่า จะไปหาของในกรุเก่า ๆ สัก ๒ ๓ ชิ้น มาต่อไส้สักหน่อย เทวดาท่านคงไม่ว่า ผมก็ไม่ค่อยเชื่อเรื่องผีสางเท่าไร ประกอบกับวันนั้นทั้งวัน ข้าวยังไม่ตกถึงท้องผมเลยสักเม็ด ผมจึงตอบตกลงไปกับพวกมัน



พอมาถึงหน้าวัด ผมรู้สึกว่า บรรยากาศภายในบริเวณวัด ทำไม มันถึงได้เยือกเย็นอย่างนี้

แสงจันทร์ที่สาดส่องมาบนพื้นดิน ก็เพียงสลัว ๆ เท่านั้น ไอ้ยุทธบอกว่า เฮ้ย.....พวกมึงยืนตะลึงอะไรกันอยู่วะ มาช่วยกูหากรุเก่า ๆ หน่อยสิโว้ย

พวกผมจึงหายตะลึง แล้วมาช่วยไอ้ยุทธหากรุเก่า ๆ เพราะพวกผมเชื่อว่าในกรุเก่า ๆ คงจะมีของมีค่าเก็บอยู่มากทีเดียว พวกเราหาอยู่ไม่นาน ไอ้คำก็หาเจอกรุ ๆ หนึ่ง ซึ่งอยู่หลังวัด พวกผมสังเกตดูสภาพของกรุแล้ว บ่งบอกว่าเก่ามาก เพราะสังเกตจากตะไคร่ที่เกาะอยู่เต็มไปหมด และสภาพกรุก็ปรักหักพัง มีรอยร้าวตามตัวกรุอยู่หลายแห่ง ไอ้ยุทธ จึงบอกว่า

เฮ้ย.......เร็วซิ พวกมึงมาช่วยกูขุดหน่อย เร็วเข้า



พอพวกผมกำลังจะเริ่มขุด หมาเจ้ากรรมก็ชูคอหอนส่งเสียงโหยหวนทันที พวกเรา ๓ คน ถึงกับยืนชะงักงันอยู่กับที่ พอไอ้ยุทธได้สติ จึงบอกว่า


เฮ้ย....รีบขุดเข้าเถอะโว้ย มัวยืนทื่อกันอยู่ได้

เสียงของไอ้ยุทธ ทำให้ผมกับไอ้คำ ได้สติขึ้นมาอีกครั้ง พวกผมจึงช่วยไอ้ยุทธขุดโดยเร็วที่สุด โดยหวังว่า ถ้าขุดเสร็จก็จะรีบกลับทันที พอจอบกระทบพื้น ๖ ๗ ครั้ง ไอ้ด่างก็หอนขึ้นมาอีกครั้ง ไอ้ยุทธจึงด่าไปด้วยความโมโหว่า ไอ้หมาเวรเอ๊ย....จะหอนหาสวรรค์วิมานอะไรของมึงวะ

แทนที่หมามันจะเงียบ มันกลับหอนโหยหวนยิ่งกว่าเดิมเสียอีก แต่คราวนี้มีเสียงอื่นปะปนมาด้วย เสียงนั้นร้องเหมือนกับกำลังโกรธแค้นอะไรบางอย่าง พวกผมจึงมองไปที่ต้นเสียงทันที

คุณพระช่วย มันเป็นอสุรกายที่ตัวสูงกว่าต้นตาลเสียอีก นัยน์ตาของมันแดงก่ำ ดวงตาของมันโตเท่าผลมะพร้าว ผมมีสีขาวสีดำปนกัน จมูกแบนแนบสนิทกับใบหน้า และปากของมันก็เป็นเพียงรู เล็ก ๆ ที่มองแทบไม่เห็นด้วยซ้ำ มือสองข้าง ทั้งใหญ่ และยาวมาก

ปะ.....ปะ......ปะ.....เปรต.....



พอสิ้นเสียงไอ้คำ พวกผมก็ออกวิ่งกันอย่างสุดชีวิต เรียกว่ามีแรงเท่าไร ก็ใช้มันไปเท่านั้น โดยไม่เหลียวหลังมามองอีกเลย

พอกลับมาถึงบ้าน ไอ้ยุทธ กับ ไอ้คำ ถึงกับนอนจับไข้หัวโกร๋นไปตาม ๆ กัน ส่วนผมพอกลับมาถึงบ้าน ผมก็ตรงไปที่ที่นอนทันที เอาผ้าคลุมโปง นอนตัวสั่นจนถึงรุ่งเช้า

วันรุ่งขึ้นผมเกิดความสำนึกผิด จึงจัดดอกไม้ธูปเทียนไปขอขมาลาโทษ กับสิ่งที่พวกผมได้กระทำ และล่วงเกินต่อท่าน เมื่อผมได้ไปขอขมาลาโทษแล้ว หลังจากนั้นอีกสองสามวัน ไอ้คำ กับ ไอ้ยุทธ ก็หายจับไข้ ด้วยกันทั้งสองคน

นี่แหละครับ ผลของการไม่รู้จักว่า ของสิ่งนั้นเป็นของ ๆ ใคร อยู่ดีไม่ว่าดี คิดจะไปเอาของ ๆ วัด ไม่รู้ว่าอะไรเป็นบุญเป็นบาป ไม่ติดคุกก็บุญของพวกผมแล้วล่ะครับ


แหล่งที่มา : หนังสือ ตายแล้วไปไหน




เครดิต :

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์